xs
xsm
sm
md
lg

รมว.“เคร์รี” ของสหรัฐฯพบผู้นำจีน หารือทั้งเรื่องเกาหลีเหนือ, ความตึงเครียดปักกิ่ง-โตเกียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ (ซ้าย) เข้าพบหารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ.)
เอเอฟพี/เอพี/เอเจนซีส์ – รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ เข้าพบหารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และผู้นำอาวุโสคนอื่นๆ ของจีนในวันนี้ (14 ก.พ.) โดยที่ประเด็นปัญหาเกาหลีเหนือคือเรื่องที่ทรงความสำคัญลำดับสูงในวาระของเขา แต่พร้อมๆ กันนั้น บุคคลหมายเลขหนึ่งในด้านการทูตของอเมริกาผู้นี้ก็มุ่งประสงค์ที่จะแสดงบทบาทในความตึงเครียดที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในเอเชีย ระหว่างปักกิ่งกับพวกชาติพันธมิตรในเอเชียของวอชิงตันอย่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์

เคร์รีเริ่มต้นการเยือนจีนเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเที่ยวนี้ ด้วยการเข้าพบเจรจากับ สี ที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยการเข้าพบกับผู้นำแดนมังกรอีกหลายคน รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง และรัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้

การเดินทางสู่เอเชียของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯครั้งนี้ บังเกิดขึ้นในช่วงจังหวะที่กำลังมีความตึงเครียดอย่างสูงในภูมิภาค จากการปะทุขึ้นมาของข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ในประเด็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลอดจนการช่วงชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งกำลังทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเอเชีย 2 รายนี้อยู่ในอาการย่ำแย่เลวร้ายที่สุดในรอบระยะไม่กี่ปีหลังมานี้

ขณะเดียวกัน ประเด็นเรื่องเกาหลีเหนือก็เป็นสิ่งที่มีลำดับความสำคัญสูงในวาระการทัวร์เอเชียเที่ยวนี้ของเคร์รี โดยที่วอชิงตันกำลังวาดหวังว่าปักกิ่งจะให้ความช่วยเหลือในการเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวโสมแดง ผู้เป็นพันธมิตรที่ก้าวร้าวและเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ของแดนมังกร แสดงออกซึ่งปฏิบัติการที่มีความหมายในการมุ่งสู่กระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์

หลังการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศหวัง เคร์รีกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวว่า การเข้าพบหารือกับสี ของเขา “เป็นการหารือที่สร้างสรรค์มาก เป็นไปในทางบวกมากๆ และผมรู้สึกยินดีที่เราได้มีโอกาสขุดคุ้ยลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับความท้าทายบางอย่างบางประการของเกาหลีเหนือ”

เคร์รี กล่าวย้ำขอให้จีน ซึ่งเป็นชาติใหญ่เพียงรายเดียวที่เกาหลีเหนือยังนับเป็นพันธมิตร เพิ่มแรงกดดันต่อโสมแดง “จีนสามารถที่จะแสดงบทบาทอันโดดเด่นและสำคัญอย่างยิ่งได้” เขาบอก “ไม่มีประเทศไหนอีกแล้วที่มีศักยภาพมากยิ่งกว่าจีนในการส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเกาหลีเหนือ ถ้าหากพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางการค้าอันใหญ่โตกว้างขวางซึ่งจีนมีอยู่กับเกาหลีเหนือ”

บุคคลหมายเลขหนึ่งทางด้านทูตของอเมริกัน ไม่ได้พูดถึงปัญหาด้านความมั่นคง หรือข้อพิพาทอื่นๆ ที่กำลังเผชิญหน้าสหรัฐฯและจีนอยู่ แต่ชี้ว่าทั้งสองฝ่ายมีหนทางที่จะบริหารจัดการกับความแตกต่างกันที่มีอยู่และค้นหาหนทางที่จะสามารถร่วมมือกันได้ในทางปฏิบัติ “เรากำลังประสบความสำเร็จในการค้นหาเรื่องที่เราเรียกว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตต่างๆ ซึ่งเราสามารถที่จะแสดงบทบาทอันสร้างสรรค์ได้” เป็นต้นว่า ซีเรีย, อัฟกานิสถาน และอิหร่าน เคร์รีกล่าว

สำหรับทางด้าน หวัง เขาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า จีนนั้นพรักพร้อมอยู่แล้วที่จะทำงานกับสหรัฐฯ “เพื่อให้เราสามารถแสดงออกอย่างแท้จริงถึงหลักการแห่งการไม่เผชิญหน้ากัน, การไม่ขัดแย้งกัน, การเคารพกันและกัน และความร่วมมือกันแบบให้ได้ชัยชนะกันทั้งสองฝ่าย ในทุกๆ ด้านทุกๆ มิติแห่งความสัมพันธ์ของพวกเรา”

ในเวลาต่อมา เคร์รี ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้อง “สร้างตัวอย่างให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจใหญ่” 2 รายนี้ และบอกว่า “ผมคิดว่าโลกนั้นกำลังเฝ้ารอคอยเรื่อยมา เพื่อให้จีนกับสหรัฐฯสามารถค้นหาสิ่งที่มีอยู่ร่วมกัน ถึงแม้จะมีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันก็ตามที”

เกี่ยวกับความกังวลของพวกชาติพันธมิตรของสหรัฐฯในเรื่องความแข็งกร้าวของจีน ทั้งในประเด็นการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนพิพาท ตลอดจนการวิวาทอันขมขื่นที่ปักกิ่งมีอยู่กับโตเกียว เคร์รีไม่ได้แถลงพูดถึงโดยตรง ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันซึ่งอยู่ในคณะติดตามของรัฐมนตรีผู้นี้บอกว่า เคร์รี แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกับฝ่ายจีน โดยที่จะเร่งเร้าให้ปักกิ่งแสดงความยับยั้งชั่งใจ, ลดทอนความดุเดือดทั้งในด้านถ้อยแถลงและการกระทำ, ตลอดจนอธิบายขยายความการอ้างกรรมสิทธิ์ของตนให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ (ที่2 จากซ้าย) เดินทางยังเครื่องบินของเขาเพื่อออกเดินทางต่อไปยังปักกิ่งในวันศุกร์ (14) ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือกับผู้นำเกาหลีใต้ที่กรุงโซล เคร์รีกำลังอยู่ระหว่างตระเวนเยือน 3 ชาติเอเชีย ได้แก่ เกาหลีใต้, จีน, และอินโดนีเซีย จากนั้นก็จะต่อไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในทริปเดินทางที่ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน
เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางออกจากกรุงโซล ซึ่งเป็นจุดแวะจุดแรกในทริปเยือนเอเชียของเขาเที่ยวนี้ เคร์รีได้แถลงข่าวโดยย้ำยืนอีกครั้งว่า หมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลจีนตะวันออกซึ่งญี่ปุ่นกับจีนช่วงชิงกันอยู่ โดยที่โตเกียวเรียกชื่อว่า “เซงกากุ” แต่ปักกิ่งขนานนามว่า “เตี้ยวอี๋ว์” นั้น ถือเป็นดินแดนที่อยู่ใต้การคุ้มครองของสนธิสัญญาความมั่นคงสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ซึ่งกำหนดผูกมัดให้สหรัฐฯต้องเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือญี่ปุ่น ถ้าหากถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม

“นี่คือจุดยืนของสหรัฐฯในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหมู่เกาะเหล่านี้” เขากล่าวโดยที่เอ่ยชื่อหมู่เกาะด้วยนามเรียกของฝ่ายญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม เคร์รีพยายามหลีกเลี่ยงเมื่อถูกถามถึงกรณีที่เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2013 นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ได้เดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ อันเป็นสถานที่รำลึกถึงทหารและอาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนทำให้จีนกับเกาหลีใต้โกรธเกรี้ยวมาก รวมทั้งวอชิงตันเองก็ไม่สู้พอใจ

เคร์รีใช้ถ้อยคำระมัดระวังในการตอบคำถามนี้ โดยกล่าวว่า ในขณะที่มี “ความวิตกกังวลอย่างถูกต้องชอบธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต” แต่ก็มี “ประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นความวิตกกังวลอันใหญ่โตในปัจจุบัน ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคง และมีความสอดคล้องเป็นจริงกับเงื่อนไขต่างๆ ของทุกวันนี้ ไม่ใช่มีความสอดคล้องเป็นจริงกับเงื่อนไขต่างๆ ของประวัติศาสตร์”

“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่จะต้องสามารถโฟกัสไปที่เรื่องซึ่งมีเดิมพันสูงๆ ในเงื่อนไขซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกผู้ทุกคนในปัจจุบันนี้” เขาบอก

เคร์รียังกล่าวย้ำระหว่างอยู่ในกรุงโซลว่า สหรัฐฯจะไม่มีวันยอมรับให้เกาหลีเหนือมีฐานะเป็นรัฐผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และจะไม่ยอมถูกดึงให้ถลำลงไปใน “การพูดจากันเพียงเพื่อให้เกิดการพูดจากันเท่านั้น” กับทางโสมแดง พร้อมกับย้ำว่า เปียงยางจะต้องมี “การกระทำอันมีความหมาย” ซึ่งมุ่งสู่กระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์เสียก่อน จากนั้นการพูดจากันจึงจะเริ่มต้นขึ้นมาได้

สำหรับท่าทีของฝ่ายจีนนั้น ถ้าหากพิจารณาจากสื่อมวลชนของทางการจีนแล้ว ก็เห็นชัดเจนว่ายังคงมุ่งโฟกัสเน้นย้ำไปที่ประเด็นปัญหาทางประวัติศาสตร์ โดยที่หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ฉบับวันศุกร์ ได้ตีพิมพ์การ์ตูนในหน้าบทบรรณาธิการ ซึ่งวาดเป็นภาพของอาเบะกำลังยื่นดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ ให้แก่หัวกะโหลกนักบินกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น

ภาพการ์ตูนนี้ดูเหมือนต้องการพาดพิงถึงการที่เมืองมินามิ-คิวชู ในญี่ปุ่นยื่นเสนอให้องค์การยูเนสโก รับรองจดทะเบียนพวกจดหมายลาตายของนักบินกามิกาเซชาวญี่ปุ่นเมื่อตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าเป็น “มรดกโลก” โดยที่ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ปักกิ่งและโซลออกมาประณามอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

ส่วนหนังสือพิมพ์โกลบัลไทมส์ ซึ่งเป็นกิจการอยู่ในเครือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ตีพิมพ์บทบรรณาธิการในฉบับวันศุกร์กล่าวว่า ขณะที่การเยือนปักกิ่งของเคร์รีได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นการเยือนที่ดำเนินไปอย่าง “ราบรื่น” แต่การที่สหรัฐฯประกาศใช้นโยบาย “ปักหมุด” ในเอเชีย “กำลังกระตุ้นให้เกิดแรงบีบคั้นต่อยุทธศาสตร์ต่างๆ ของจีน”
กำลังโหลดความคิดเห็น