เอเจนซีส์ - ในวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) เดลวาร์ ฮอสเซน (Delwar Hossain) เจ้าของโรงงานเย็บเสื้อทาซรีน แฟชันส์ (Tazreen Fashions) นอกกรุงธากา ที่ได้เกิดโศกนาฏกรรมเพลิงไหม้และตึกถล่มครั้งใหญ่ คร่าชีวิตพนักงานที่ส่วนใหญ่เป็นสตรีในโรงงานทอผ้าแห่งนี้ถึง 112 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2012 และภรรยา มาห์มูดา อัคเธอร์ (Mahmuda Akther) ประธานกรรมการบริษัท ได้ยอมรับความผิดในข้อหาต่อศาลชั้นต้นในบังกลาเทศ ก่อนที่จะถูกส่งเข้าเรือนจำและปฏิเสธการขอประกันตัว
ผู้พิพากษาศาลแขวง โมฮัมหมัด ทาจูล อิสลาม (Mohammad Tajul Islam) ได้ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเพื่อตัดสินคู่สามีภรรยานักโทษหลบหนี เจ้าของและประธานกรรมการโรงงานเย็บเสื้อส่งออกทาซรีน แฟชันส์ (Tazreen Fashions) ตั้งอยู่นอกกรุงธากา ที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ คร่าชีวิตพนักงานในโรงงานทอผ้าแห่งนี้ถึง 112 คน ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2012 โดยเดลวาร์ ฮอสเซน (Delwar Hossain) เจ้าของโรงงานและภรรยา มาห์มูดา อัคเธอร์( Mahmuda Akther) ประธานกรรมการบริษัทที่ถูกออกหมายจับในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาหลังจากหลบหนีคดี ได้ยอมรับความผิดในชั้นศาล ก่อนที่ผู้พิพากษาจะปฏิเสธการขอประกันตัว และส่งคนทั้งคู่เข้าเรือนจำ
ทั้งนี้ พนักงานของโรงงานที่เสียชีวิตส่วนใหญ่นั้นเป็นสตรี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ ผู้ควบคุมได้สั่งให้พนักงานกลับไปนั่งทำงานต่อ และเพลิงไหม้ได้ลุกลามจนทำให้เกิดตึกถล่มขึ้น
และพบว่าเหยื่อที่ถูกเพลิงไหม้ในครั้งนี้มีสภาพไม่สามารถจำรูปพรรณสันฐานได้ ซึ่งทางการบังกลาเทศต้องใช้การตรวจหา DNA ของเหยื่อผู้เสียชีวิตก่อนจะนำไปดำเนินการตามพิธีทางศาสนา
ในเดือนธันวาคม 2013 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้้ขอหมายศาลจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ 13 คน จากความผิดประมาทขั้นร้ายแรงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และได้ตั้งข้อกล่าวหา “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” อ้างจากเจ้าหน้าที่ศาล ซึ่งได้มีการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาหลบหนีคดี 6 คน ที่รวมถึงฮอสเซน และอัคเธอร์ และหมายจับอื่นที่รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของโรงงานตัดเสื้อผ้าแห่งนี้
โรงงานเย็บเสื้อทาซรีน แฟชันส์ เป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทใหญ่ๆในสหรัฐฯ เช่น วอลล์มาร์ท ดิสนีย์ ทาร์เก็ต และเซียร์ส เป็นต้น อุตสาหกรรมการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปถือเป็น 80% ของยอดสินค้าส่งออกของบังกลาเทศที่สามารถทำรายได้ 24 พันล้านดอลลาร์ต่อปี