ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือก "ศุภชัย สมเจริญ" อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็น กกต.ส่วนอีกตำแหน่งได้เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ต้องคัดเลือกใหม่อีกครั้ง 9 ต.ค.นี้
ที่ห้องประชุมศาลฎีกา สนามหลวง วันนี้ (30 ก.ย.) นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกา 156 คน เพื่อประชุมใหญ่ศาลฎีกา พิจารณาสรรหาบุคคลที่สมควรถูกเสนอชื่อให้เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนชุดปัจจุบันที่ได้ครบวาระลงแล้ว
โดยการประชุมใหญ่ศาลฎีกาวันนี้ มีผู้พิพากษาเข้าร่วมประชุม 136 คน ซึ่งในการเลือกที่จะให้สิทธิ์ผู้พิพากษาแต่ละคนลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้ไม่เกิน 4 คน แล้วจะเลือกเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดเพียง 2 คนมาให้ที่ประชุมใหญ่ได้ลงคะแนนเลือกในรอบสุดท้าย โดยในรอบนี้ผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้พิพากษาที่มาร่วมประชุม ซึ่งการคัดเลือกด้วยวิธีการลงคะแนนลับปรากฏว่า นายศุภชัย สมเจริญ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ซึ่งได้คะแนนสูงสุดในรอบแรกของจำนวน 4 คน แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงการลงคะแนนในรอบสุดท้ายนายศุภชัยได้รับคะแนน 70 เสียง ซึ่งถือว่าเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้พิพากษาที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด จึงได้เป็นผู้ที่สมควรถูกเสนอชื่อให้เป็นกกต.
ต่อมาที่ประชุมใหญ่ได้มีการเปิดให้ลงคะแนนอีกครั้ง เพื่อจะหาอีกหนึ่งคนให้ครบตามจำนวน โดยการลงคะแนนรอบนี้มีชื่อ 4 คน ประกอบด้วย นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม นางเปรมใจ กิติคุณไพโรจน์ นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ และม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ซึ่งนายชัยสิทธิ์ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามเกณฑ์ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกกต. ดังนั้น จึงกำหนดประชุมใหญ่ใหม่อีกครั้ง เพื่อพิจารณาสรรหาบุคคลที่สมควรถูกเสนอชื่อให้เป็นกกต. ในวันที่ 9 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ์ที่จะให้มีการเสนอชื่อบุคคลซึ่งเคยถูกเสนอชื่อมาแล้วให้เลือกอีก
ด้านนายศุภชัย เปิดเผยว่า ตนมีความพร้อมที่จะดำรงตำแหน่งกกต. โดยต้องการทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองในบั้นปลายชีวิตอีก 5 ปีก่อนที่จะเกษียณราชการ เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบสุข อย่างไหนถูกก็ว่าไปตามที่ถูกตรงไปตรงมา โปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนจะผ่านขั้นตอนสว.พิจารณาเพื่อเห็นชอบหรือไม่นั้น สุดแล้วแต่ท่านสว.จะเป็นผู้พิจารณาตามสมควรที่จะเลือกคนดีเข้าไปเป็นกกต. ซึ่งเป็นดุลยพินิจของท่านตนไม่อาจก้าวล่วง แต่หากเลือกตนก็พร้อมเข้าไปทำงาน ถ้าไม่เลือกก็กลับมาเป็นผู้พิพากษาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประวัตินายศุภชัย สมเจริญ ปัจจุบันอายุ 64 ปี ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา อดีตเคยเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ , ผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครใต้ ศาลแขวงพระนครเหนือ , ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเขียว ศาลจังหวัดสีคิ้ว , ศาลจังหวัดระยอง ผู้พิพากษาศาลแพ่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี , ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรี , ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา , รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และภาค 2 , ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 8 และภาค 4 , ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ภาค4 , ผู้พิพากษาศาลฎีกา , ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นองค์คณะพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองนายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา อดีตส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน และนางอรพินท์ มั่นศิลป์ สว.นครสวรรค์ เนื่องจากจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ , ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 , ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา คณะที่1 ทำหน้าที่ประธานคดีปกครอง นอกจากนี้เคยปฏิบัติหน้าที่กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (กต.) ผู้ทรงคุณวุฒิในศาลฎีกาและชั้นศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องเรียนโยกย้ายและวินัยผู้พิพากษา และเคยเป็นกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมในชั้นศาลฎีกา