รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - อัตราการทำแท้งในสหรัฐฯ ได้ถลำลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา ในเวลาเดียวกับที่อัตราการตั้งครรภ์และอัตราการเกิดโดยรวมดิ่งฮวบลงในเวลาอันรวดเร็ว ผลการวิจัยขององค์การด้านสุขภาพทางเพศที่ไม่แสวงหาผลกำไรชี้วานนี้ (2 ก.พ.)
ผลการศึกษาของสถาบัน “กัตต์มาร์เชอร์” ระบุว่า อัตราการทำแท้งเมื่อปี 2011 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด ได้ลดลงไปอยู่ที่ 16.9 ต่อสตรี 1,000 คนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 44 ปี โดยลดลงจากตัวเลขในปี 1981 ที่เคยพุ่งทะยานสู่ 29.3 ต่อหญิง 1,000 คน ทั้งยังถือเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1973 ปีที่อัตราการทำแท้งลดฮวบลงไปอยู่ที่ 16.3 ต่อผู้หญิง 1,000 คน
ราเชล โจนส์ หัวหน้าคณะผู้ทำการศึกษากล่าวว่า “แม้ว่าอัตราการทำแท้งได้ลดลงในเกือบทุกรัฐ แต่การศึกษาของเราไม่พบหลักฐานที่ชี้ว่า การลดลงของการทำแท้งทั่วประเทศในช่วงเวลานี้ เป็นผลมาจากกฎหมายห้ามทำแท้งฉบับใหม่ของรัฐ นอกจากนี้เรายังไม่พบหลักฐานว่าการลดลงเกิดจากการที่ในช่วงนี้มีสถานทำแท้งลดลง”
การลดลงของอัตราการทำแท้งเช่นนี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่อัตราการตั้งครรภ์และอัตราการเกิดโดยรวมลดลง ขณะที่อัตราการใช้ยาคุมกำเนิดและวิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ นอกจากนี้เศรษฐกิจที่ถดถอยยังทำให้ผู้หญิงจำนวนมาก และคู่สมรสต้องการป้องกันหรือชะลอการตั้งครรภ์และการมีบุตรออกไปก่อน
ผลการศึกษายังพบด้วยว่า ในช่วงระหว่างปี 2008 ถึงปี 2011 จำนวนสถานรับทำแท้งทั้งหมดลดลงเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ และจำนวนคลินิกที่ให้บริการทำแท้งเป็นหลักลดลงเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ขณะที่อัตราการทำแท้งโดยรวมลดลง สัดส่วนของการทำแท้งด้วยการใช้ยาในสตรีที่ตั้งครรภ์ระยะเริ่มต้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยระบุ
ทั้งนี้ ในปี 2011 มีสตรีทำแท้งด้วยวิธีการใช้ยาในระยะตั้งครรภ์อ่อนๆ ประมาณ 239,400 ราย ซึ่งนับเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแท้งนอกโรงพยาบาลทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจากตัวเลข 17 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2008 การศึกษาประมาณการว่าคนกลุ่มนี้ได้รับบริการจาก 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้บริการทำแท้งเท่าที่มีการเปิดเผย