สปสช.รับโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งเบิกค่ายาคุมกำเนิด 35 ล้านบาทผิดปกติจริง ชี้เป็นไปได้ยากที่จะให้บริการยาคุมเฉลี่ยเดือนละแสนครั้ง สั่งตั้งกรรมการสอบแล้ว เตรียมเรียกโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งให้ข้อมูลว่าส่อทุจริตหรือไม่ หรือเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลพลาด รับระบบเบิกจ่ายมีจุดอ่อนเปิดช่องให้โกงงบได้ แต่มีระบบสุ่มตรวจชัดเจน
วันนี้ (15 ก.ค.) นพ.รัฐพล เตรียมวิชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีข่าวโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งมีการเบิกยาคุมกำเนิดในงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เฉพาะส่วนที่มีบริการเด่นชัด (PP Express Demand) จำนวนกว่า 35 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2555-2556 ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นการทุจริตนั้น ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เพราะมีการเบิกจ่ายงบส่วนนี้ให้แก่โรงพยาบาลทั้งสองแห่งตั้งแต่ปี 2555 แล้ว แต่จากการตรวจสอบพบว่า จำนวนการเบิกจ่ายนั้นมียอดสูงเกินความเป็นจริง เนื่องจากมีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการเบิกค่ายาคุมกำเนิดรวมกันสูงถึง 35 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีการให้บริการยาคุมกำเนิดเฉลี่ยถึงเดือนละแสนครั้ง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ จึงมีการบล็อกงบส่วนปี 2556 ไว้ก่อน โดย สปสช.กทม.ได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่คณะทำงานด้านการเงินการคลัง คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ กทม.ทราบแล้ว ล่าสุด มีคำสั่งออกมาแล้วว่าให้เร่งตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
"ในการพิจารณาจะมีการเรียกโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งนี้มาให้ข้อมูล เพื่อให้ความเป็นธรรมกับโรงพยาบาลด้วย จึงจะสรุปผลว่าเป็นการทุจริตหรือไม่ หรือเป็นการเบิกจ่ายผิดพลาดซึ่งเกิดจากความเผอเรอของเจ้าหน้าที่ หรืออาจมีความเป็นไปได้ที่โรงพยาบาลจะมีการออกอีเวนต์ จึงมีการให้บริการยาคุมกำเนิดที่สูงผิดปกติ ก็คงต้องรอให้โรงพยาบาลเข้ามาให้ข้อมูลก่อน อย่างไรก็ตาม หากกิจกรรมใดที่หน่วยบริการไม่ได้ทำแล้วมีการเบิกถือว่าเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะต้องเรียกเงินคืน แต่จะมีการปรับหรือไม่นั้นตรงนี้จะมีระเบียบบังคับอยู่ หากเป็นการจงใจเบิกเงินผิดระเบียบ เบิกผิดแบบซ้ำซาก หรือมีเจตนาก็จะมีการปรับ" ผอ.สปสช.กทม. กล่าว
นพ.รัฐพล กล่าวอีกว่า การเบิกงบดังกล่าวเป็นการเบิกจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอาจเบิกผิดพลาดได้ ซึ่ง สปสช.จะมีระบบในการสุ่มตรวจอยู่แล้วว่ามีการเบิกจ่ายงบผิดปกติหรือไม่ บางเดือนหากมีการเบิกสูงผิดปกติก็จะบล็อกการเบิกจ่ายงบไว้ก่อนและทำการตรวจสอบ หากเป็นความเผอเรอของเจ้าหน้าที่ที่กรอกข้อมูล เพราะความไม่เข้าใจ ก็จะมีการส่งหนังสือตักเตือนเบื้องต้น แต่หากมีการทำผิดซ้ำซากก็จะมีมาตรการที่รุนแรงขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเบิกจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นนี้ โดยที่ไม่มีการตรวจสอบก่อนเบิกจ่าย อาจเอื้อให้มีการทุจริตได้ นพ.รัฐพล กล่าวว่า ยอมรับว่าระบบยังคงมีจุดอ่อนอยู่ ซึ่งก็เป็นเหมือนกันทุกระบบการเบิกจ่าย สปสช.ก็พยายามที่จะให้การเบิกจ่ายมีความตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ถ้ามีการกระทำผิดก็จะใช้มาตรการลงโทษที่รุนแรง แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบที่รอบคอบเพื่อให้ความเป็นธรรมด้วยเช่นกัน
เมื่อถามถึงกรณีคลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.ขอให้มีการใช้งบข้ามหมวด เพื่อรองรับปัญหาทางการเงินจากการต้องตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยที่ไปรับบริการยังโรงพยาบาลแม่ข่าย นพ.รัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นการแก้ปัญหาดังกล่าว จะมีการเพิ่มงบประมาณปี 2557 ให้แก่หน่วยบริการ และจะมีการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานด้วย แต่ในเรื่องการใช้เงินข้ามหมวดนั้นกำลังดูช่องทางเพื่อนำเสนอบอร์ด สปสช.อยู่ เพราะต้องดูในเรื่องข้อกฎหมายด้วย แต่ยังไม่สามารถรับปากได้ว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมได้เมื่อไร เพราะตนยังต้องพิจารณาข้อมูลเรื่องนี้อีกหลายส่วน แต่คาดว่าคงไม่ทันในงบประมาณปี 2557
วันนี้ (15 ก.ค.) นพ.รัฐพล เตรียมวิชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีข่าวโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งมีการเบิกยาคุมกำเนิดในงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เฉพาะส่วนที่มีบริการเด่นชัด (PP Express Demand) จำนวนกว่า 35 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2555-2556 ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นการทุจริตนั้น ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เพราะมีการเบิกจ่ายงบส่วนนี้ให้แก่โรงพยาบาลทั้งสองแห่งตั้งแต่ปี 2555 แล้ว แต่จากการตรวจสอบพบว่า จำนวนการเบิกจ่ายนั้นมียอดสูงเกินความเป็นจริง เนื่องจากมีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการเบิกค่ายาคุมกำเนิดรวมกันสูงถึง 35 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีการให้บริการยาคุมกำเนิดเฉลี่ยถึงเดือนละแสนครั้ง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ จึงมีการบล็อกงบส่วนปี 2556 ไว้ก่อน โดย สปสช.กทม.ได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่คณะทำงานด้านการเงินการคลัง คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ กทม.ทราบแล้ว ล่าสุด มีคำสั่งออกมาแล้วว่าให้เร่งตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
"ในการพิจารณาจะมีการเรียกโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งนี้มาให้ข้อมูล เพื่อให้ความเป็นธรรมกับโรงพยาบาลด้วย จึงจะสรุปผลว่าเป็นการทุจริตหรือไม่ หรือเป็นการเบิกจ่ายผิดพลาดซึ่งเกิดจากความเผอเรอของเจ้าหน้าที่ หรืออาจมีความเป็นไปได้ที่โรงพยาบาลจะมีการออกอีเวนต์ จึงมีการให้บริการยาคุมกำเนิดที่สูงผิดปกติ ก็คงต้องรอให้โรงพยาบาลเข้ามาให้ข้อมูลก่อน อย่างไรก็ตาม หากกิจกรรมใดที่หน่วยบริการไม่ได้ทำแล้วมีการเบิกถือว่าเป็นการให้ข้อมูลเท็จจะต้องเรียกเงินคืน แต่จะมีการปรับหรือไม่นั้นตรงนี้จะมีระเบียบบังคับอยู่ หากเป็นการจงใจเบิกเงินผิดระเบียบ เบิกผิดแบบซ้ำซาก หรือมีเจตนาก็จะมีการปรับ" ผอ.สปสช.กทม. กล่าว
นพ.รัฐพล กล่าวอีกว่า การเบิกงบดังกล่าวเป็นการเบิกจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอาจเบิกผิดพลาดได้ ซึ่ง สปสช.จะมีระบบในการสุ่มตรวจอยู่แล้วว่ามีการเบิกจ่ายงบผิดปกติหรือไม่ บางเดือนหากมีการเบิกสูงผิดปกติก็จะบล็อกการเบิกจ่ายงบไว้ก่อนและทำการตรวจสอบ หากเป็นความเผอเรอของเจ้าหน้าที่ที่กรอกข้อมูล เพราะความไม่เข้าใจ ก็จะมีการส่งหนังสือตักเตือนเบื้องต้น แต่หากมีการทำผิดซ้ำซากก็จะมีมาตรการที่รุนแรงขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเบิกจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นนี้ โดยที่ไม่มีการตรวจสอบก่อนเบิกจ่าย อาจเอื้อให้มีการทุจริตได้ นพ.รัฐพล กล่าวว่า ยอมรับว่าระบบยังคงมีจุดอ่อนอยู่ ซึ่งก็เป็นเหมือนกันทุกระบบการเบิกจ่าย สปสช.ก็พยายามที่จะให้การเบิกจ่ายมีความตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ถ้ามีการกระทำผิดก็จะใช้มาตรการลงโทษที่รุนแรง แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบที่รอบคอบเพื่อให้ความเป็นธรรมด้วยเช่นกัน
เมื่อถามถึงกรณีคลินิกชุมชนอบอุ่น กทม.ขอให้มีการใช้งบข้ามหมวด เพื่อรองรับปัญหาทางการเงินจากการต้องตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยที่ไปรับบริการยังโรงพยาบาลแม่ข่าย นพ.รัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นการแก้ปัญหาดังกล่าว จะมีการเพิ่มงบประมาณปี 2557 ให้แก่หน่วยบริการ และจะมีการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานด้วย แต่ในเรื่องการใช้เงินข้ามหมวดนั้นกำลังดูช่องทางเพื่อนำเสนอบอร์ด สปสช.อยู่ เพราะต้องดูในเรื่องข้อกฎหมายด้วย แต่ยังไม่สามารถรับปากได้ว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมได้เมื่อไร เพราะตนยังต้องพิจารณาข้อมูลเรื่องนี้อีกหลายส่วน แต่คาดว่าคงไม่ทันในงบประมาณปี 2557
