รอยเตอร์/เอพี/เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์แถลงนโยบายประจำปี หรือ “สเตท ออฟ ดิ ยูเนียน” ต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภา-สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในวันอังคาร (28) หรือตรงกับช่วงเช้าวันพุธ (29) ตามเวลาประเทศไทย โดยระบุพร้อมเดินหน้า “เพียงลำพัง” หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสที่แตกแยกในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชนชั้นกลางอเมริกัน และพร้อมขัดขวางทุกมาตรการคว่ำบาตรที่พุ่งเป้าไปยังระบอบการปกครองใหม่ในอิหร่าน ที่อาจกลายเป็น “เชื้อไฟ” กระตุ้นให้สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้หันกลับไปเดินบน “ถนนสายนิวเคลียร์” อีกครั้ง
ประธานาธิบดีโอบามา ในวัย 52 ปี ซึ่งเป็นผู้นำคนที่ 44 ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้วตัวเขามีความปรารถนาที่จะร่วมเดินหน้าทำงานกับสมาชิกสภาคองเกรสทั้งหมดอย่างแข็งขัน แต่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มิอาจหยุดนิ่งเฉย หรือตกอยู่ในภาวะชะงักงันได้
ดังนั้น ในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เขาก็พร้อมก้าวไปข้างหน้า “เพียงลำพัง” ในการขยายโอกาสให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพชีวิตของชนชั้นกลางในประเทศ โดยจะไม่รีรอหรือหวังพึ่งการสนับสนุนจากนักการเมืองในสภาคองเกรสอีกต่อไป
โอบามาระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาเขาได้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยตัวเองในหลายประเด็นไปแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งการหนุนหลังจากคองเกรส รวมถึง การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับบรรดาพนักงานสัญญาจ้างของหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็นชั่วโมงละ 10.10 ดอลลาร์จากเดิมชั่วโมงละ 7.25 ดอลลาร์, การผลักดันโครงการเงินออมสำหรับวัยเกษียณให้กับชาวอเมริกันหลายล้านคน รวมถึงมาตรการแก้ปัญหาปากท้องอื่นๆ เพื่อลด “ช่องว่างที่แผ่กว้างมากขึ้น” ระหว่างคนรวยและคนยากจนในสหรัฐฯ
ถ้อยแลงของโอบามา ซึ่งถูกมองว่าไม่ต่างจาก “การปลดแอกตัวเองจากร่มเงาของสภาคองเกรส” ครั้งนี้ ถือเป็นการจุดชนวนแห่งความตึงเครียดครั้งใหม่ระหว่างฝ่ายเดโมแครตและรีพับลิกันที่ขัดแย้งแตกแยกกันในระดับที่หนักข้อที่สุดในรอบหลายปี และยังเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความคับข้องใจของโอบามา ต่อการที่นักการเมืองฝ่ายรีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมักคอยทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาต่างๆ ของฝ่ายบริหารในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้สมาชิกสภาคองเกรสส์หันมาร่วมมือกันปฏิรูประเบียบด้านการรับคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นประเด็นที่โอบามาระบุว่ามีความสำคัญในลำดับแรกๆ โดยระบุว่า ขอให้ปี 2014 นี้เป็นปีแห่งการปฏิรูปในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เป็นผลพวงมาจากจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวนนับล้าน พร้อมขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแรงกันหาทางออกให้กับปัญหาอื่นๆ เช่น การครอบครองอาวุธปืน ด้วยเช่นกัน
สำหรับประเด็นด้านนโยบายต่างประเทศ ประธานาธิบดีโอบามาซึ่งเหลือเวลาการดำรงตำแหน่งอีก 3 ปี ยืนยันว่าในปีนี้จะต้องมีความคืบหน้าอย่างสำคัญในการปิดเรือนจำทหารของสหรัฐฯที่อ่าวกวนตานาโมในคิวบา ซึ่งโอบามาเคยประกาศจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นตั้งแต่สมัยแรกของการดำรงตำแหน่ง
ผู้นำสหรัฐฯ วิงวอนให้สภาคองเกรสเร่งยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ที่กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการโอนย้ายนักโทษคดีก่อการร้ายออกจากเรือนจำดังกล่าวที่ยังเหลืออยู่อีก 155 ราย โดยระบุว่า แม้สหรัฐฯ จะยังคงยึดมั่นในการดำเนินนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายอย่างแข็งขัน แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ต้องเป็นแบบอย่างให้กับประชาคมโลก ในด้านการเคารพในสิทธิมนุษยชนและหลักการแห่งรัฐธรรมนูญด้วย
แต่ที่สร้างความฮือฮามากที่สุด คือ การที่โอบามาซึ่งอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีมานาน 5 ปี ประกาศจะ “วีโต้” ความพยายามใดๆ ก็ตามของสมาชิกสภาคองเกรสในการเพิ่มบทลงโทษต่ออิหร่าน
โดยโอบามาระบุว่า การเพิ่มความเข้มข้นในการลงโทษรัฐบาลเตหะราน จะทำลายความพยายามทางการทูตของสหรัฐฯ และชาติมหาอำนาจตะวันตก ที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดีในการโน้มน้าวให้อิหร่านก้าวออกจาก “ถนนสายนิวเคลียร์”
“ผมขอย้ำว่า ถ้าสภาคองเกรสส์ชุดนี้พยายามเสนอมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อการยับยั้งการพัฒนานิวเคลียร์ของรัฐบาลเตหะราน ผมจะยับยั้งมันในทันที เพื่อความมั่นคงของประเทศของเรา เราจะต้องปล่อยให้การทูตได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป” โอบามากล่าว
นอกจากนั้น ในประเด็นสงครามอัฟกานิสถาน โอบามาได้ย้ำต่อสภาคองเกรสว่า ปี 2014 นี้ จะถือเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนบทบาททางทหารอย่างสำคัญ ด้วยการยุติบทบาทเดิมที่นำเอาตัวเองเข้าไปผูกติดกับอัฟกานิสถานอย่างถาวร แต่โอบามาไม่กล่าวชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะคงบทบาทของตนต่อไปในแผ่นดินอัฟกันอย่างไร หลังผ่านพ้นกำหนดการถอนตัวของทหารสหรัฐฯ และกองกำลังนานาชาติในสิ้นปีนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ผลสำรวจความคิดเห็นของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล และเอ็นบีซี นิวส์ ที่มีการเผยแพร่ในวันเดียวกับการแถลงสุนทรพจน์ “สเตท ออฟ ดิ ยูเนียน” ของโอบามาระบุว่า ชาวอเมริกัน 68 เปอร์เซ็นต์ในขณะนี้เชื่อว่า ประเทศของตนกำลังหยุดชะงัก หรือไม่ก็เลวร้ายถอยหลังยิ่งกว่าเดิมนับตั้งแต่ที่โอบามาขึ้นครองอำนาจ ทั้งยังระบุว่าในยุคของโอบามา สังคมอเมริกันเต็มไปด้วยความแตกแยกและปัญหา