เอเจนซีส์ - สื่ออเมริกัน เช่น วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้ (3) ถึง แจ็ค แอนดรากา วัยรุ่นอเมริกันที่เปิดเผยว่าเป็นเกย์จากรัฐแมรีแลนด์ ในปี 2011 เมื่อเขามีอายุได้เพียง 15 ปี ได้สร้างความตื่นตะลึงทั่ววงการยาและการแพทย์ของสหรัฐฯ เมื่อแอนดรากาสามารถหาความรู้ที่ได้จากกูเกิลและวิกิพีเดียในการพัฒนาชุดแบบทดสอบมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer) ซึ่งจัดว่าเป็นโรคร้ายที่สุดซึ่งจะตรวจพบเจอเมื่อสายเสียแล้ว ที่หนุ่มน้อยผู้นี้อ้างว่ามีราคาถูกกว่า 26,000 เท่า แต่มีความเร็วในการพบมากกว่า 168 เท่า และมีความแม่นยำมากกว่าถึง 400 เท่า
ในปัจจุบันนี้ในการตรวจหาความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งตับอ่อน หรือ Pancreatic Cancer แพทย์ในอเมริกาจะส่งผลเลือดสู่แล็บเพื่อจะตรวจหาระดับที่เพิ่มขึ้นของตัวของ Pancreatic Cancer Biomarker ซึ่งทั้งนักวิจัยด้านมะเร็งและผู้เชี่ยวชาญอื่นต่างลงความเห็นว่า การตรวจประเภทนี้ใช้ไม่ได้ผลกับผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพราะมันมักจะไม่แสดงความผิดปกติออกมาถึงแม้โรคจะลุกลามไปมากแล้ว
ชุดแบบทดสอบของ แจ็ค แอนดรากา จากรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐฯ นั้นใช้เวลาเพียง 5 นาที ซึ่งการคาดการณ์นั้นมีความแม่นยำเกือบจะ 100% ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มแรกได้ ซึ่งมันเป็นเพียงแผ่นของกระดาษกรองจุ่มลงในสารละลาย (carbon nanotubes และ mesothelin antibodies ที่สามารถจับตัว Pancreatic Cancer Biomarker จากหยดเลือดได้ ซึ่งถ้าหากหยดเลือดมีตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ มันจะเปลี่ยนความสามารถทางไฟฟ้าของกระดาษกรองทดสอบซึ่งสามารถวัดได้จากเครื่องมือโอห์มมิเตอร์ในราคาแค่ 50 ดอลลาร์)
ในขณะที่ชุดทดสอบนี้ยังไม่วางขายในเชิงการค้า แอนดรากาได้ทำงานในหลายบริษัทเพื่อพัฒนาและปรับปรุงชุดทดสอบนี้โดยหวังว่ามันจะสามารถถูกอนุญาตให้ขายได้ตามร้านขายยาได้ทั่วไปในสหรัฐฯ
ด้าน เลน ลิกเทนฟิลด์ รองผู้อำนวยการสมาคมมะเร็งแห่งอเมริกา กล่าวว่า ผลงานของ แอนดรากานั้น “เป็นความสำเร็จที่น่ามหัศจรรย์มาก” แต่อย่างไรก็ตามเขากล่าวเตือนว่า มันต้องใช้ระวระเวลานับหลายปีที่จะอนุญาตชุดแบบทดสอบได้ “การที่จะนำเอาเทคโนโลยีนั้นมาสู่การทำให้ชุดทดสอบทางคลีนิกวิทยานั้นให้ได้ผลเพื่อช่วยชีวิตคนนั้นเป็นอีกหนึ่งก้าว ซึ่งยังห่างไกลอยู่มาก” ลิกเทนฟิลด์กล่าว
ในปี 2012 ลิกเทนฟิลด์ได้รับรางวัลใหญ่มูลค่า 75,000 ดอลลาร์ จากงาน Intel International Science and Engineering fairหรือ Intel ISEFสำหรับงานวิจัยของเขา ตั้งแต่นั้นมาแอนดรากานั้นกลายเป็น “ซุปตา” ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งในสุนทรพจน์เมื่อต้นปี 2013 ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า “ไม่เลวเลยสำหรับหนุ่มคนนี้ที่เพิ่งมีอายุสามารถขับรถได้ถูกต้องตามกฎหมาย” และในเดือนที่ผ่านมา แอนดรากาได้รับรางวัลจากกรุงวาติกันอีกด้วย
และยามที่เด็กหนุ่มจากรัฐแมรีแลนด์ผู้นี้ไม่ต้องเดินทางและการสัมมนา เขาได้ใช้เวลาเป็นพนักงานฝึกหัดที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่แล็บของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกินส์ ซึ่งดำเนินงานโดยนักวิทยาศาสตร์ที่แอนดรากา พบหลังจากงานรับรางวัล Intel
และนี่เป็นบางช่วงของการสัมภาษณ์ของ แอนดราคา ที่ขณะนี้อายุได้ 16 ปี แล้ว และกำลังศึกษาอยู่ที่ North County High School ใน เกลนเบอร์นี
ช่วยบอกถึงการค้นพบของชุดทดลองมะเร็งของคุณว่ามีที่มาอย่างไร?
เมื่อผมมีอายุได้ 13 ปีครอบครัวสนิทของเพื่อนซึ่งเสมือนกับเป็นลุงของผมได้จากผมไปเพราะโรคร้าย และผมได้พบว่า 85% ของโรคมะเร็งทุกชนิดนั้นถูกตรวจพบเมื่อสายเสียแล้ว ซึ่งผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตน้อยกว่า 2% และที่แย่ก็คือค่าใช้จ่ายในการตรวจหานั้นมีราคา 800 ดอลลาร์ มีความผิดพลาดราว 60% ของโรคมะเร็งทุกประเภท และใช้ไม่ได้ผลกับผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะต่อสู้กับความท้าทายนี้ ผมได้เข้าอินเตอร์เนตไปเพื่อดูในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างๆ และผมได้เขียนอีเมลไปถึงนักวิทยาศสตร์ที่กำลังวิจัยเรื่องมะเร็งตับอ่อนอยู่ในขณะนั้นราว 200 คน เห็นจะได้ บางคนตอบกลับด้วย “ปฏิกริยาที่แย่มาก” แบบว่า หาว่าความคิดของผมนี่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย แต่ทว่า ดร. อาเนียร์บาน เมตรา จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกินนั้นให้โอกาสผม
แล้วคุณเริ่มสนใจในงานวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แรกได้อย่างไร?
พ่อและแม่ของผม ท่านเจ๋งมากเลย จำได้ว่าตั้งแต่ผมอายุได้ 3 ปี ผมเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไม ทำไม และทำไม อยู่ตลอดเวลา และแบบในท้ายที่สุดพ่อกับแม่ก็คงคิดว่า “เอายังงี้ก็แล้วกัน สอนให้แจ็คแบบการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ซะ เขาจะได้หาคำตอบด้วยตนเองในภายหลัง” ดังนั้นท่านทั้งสองคนก็เริ่มทดลองทางวิทยาศาสตร์กับผมตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จำได้ว่าเราเอาเปลือกไข่จำนวนหนึ่งมาตั้งและนำเอาหนังสือมาวางบนเปลือกไข่อีกทีเพื่อดูว่ามีหนังสือซักกี่เล่มที่จะวางลงบนเปลือกไข่ได้โดยที่เปลือกไข่ไม่แตก มันเหมือนเป็นการเล่นสนุกมากกว่า จนในที่สุดผมก็ทดลองวิทยาศาสตร์ในการทดลองวิทยาศาสตร์อีกทีนึง
แล้วชีวิตแต่ละวันของคุณเป็นยังไงบ้าง?
ในวันที่ผมต้องไปโรงเรียน ผมตื่นตอน 5.30 น.ไปโรงเรียน แล้วก็ไปต่อที่แล็บ แล้วบางทีอยู่ถึง 2.30 น.ของเช้าวันถัดไป และถ้าวันไหนที่ผมไม่ต้องไปโรงเรียน ผมมักจะตื่นราว 7.00 น.และก็ทำงานบางอย่าง และก็กลับบ้านก่อน 22.00 น.ผมชอบไปที่แล็บนะ ในวันเสาร์ ผมก็ไปแล็บเหมือนกัน น่าเสียดายที่ในวันอาทิตย์แล็บมันปิด ผมใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนเพียงแค่ 10% นะ แต่ผลการเรียนของผมได้ Aทั้งหมดนะ
โอ้!! นั่นมันต้องขับรถตลอดเลยนะ?
ที่จริงแล้วคือผมไม่ขับรถ ผมยังต้องขอใบอนุญาตการเรียนหัดขับอยู่ ผมต้องเข้าคอร์สติวเข้มการหัดขับเป็นเวลา 2 สัปดาห์อยู่เลยแต่ปัญหาคือ ผมไม่เคยได้อยู่บ้านเป็นเวลาถึง 2 อาทิตย์ แม่ขับรถไปส่งผม
คุณเคยมีความคิดต้องการข้ามไปเรียนในชั้นสูงๆ บ้างไหม?
ไม่หละ ผมไม่ต้องการจะเป็นแบบเด็กอายุ 6 ปีไปเรียนในมหาวิทยาลัยในขณะที่เพื่อนในชั้นเรียนมหาวิทยาลัยคนอื่นๆ ได้ไปงานปาร์ตี ซึ่งผมไม่อยากพลาดโอกาส เพราะไม่สามารถไปร่วมได้ ผมไปดูภาพยนตร์บางครั้ง ผมไปร่วมงานศิษย์เก่า และผมอยู่ในทีมแข่งเรือคายัค National Junior Wildwater ด้วย ผมมันเป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาคนนึง ผมยังชอบการเป็นวัยรุ่นอยู่
คุณได้เปิดเผยถึงรสนิยมทางเพศของคุณให้ที่บ้านและเพื่อนได้รับรู้เมื่อมีอายุได้ 13 ปี มันเป็นการตัดสินใจที่ยากหรือไม่?
จริงๆ แล้วผมกลัวมากๆ เลยนะที่จะบอกใครๆ ว่าเป็นเกย์ เพราะยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเกย์ และเมื่อผมได้เข้าไปอยู่ในงานแจกรางวัลทางวิทยาศาสตร์ ผมรู้สึกเหมือน “นักวิทยาศาสตร์เกย์หายไปไหนกันหมด” ผมไม่ได้เห็นแบบอย่างจากพวกเขาเลย โอ้...มีนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์ อลัน ทัวริง แต่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว และหลังจากที่ผมได้รางวัล Intel มีวัยรุ่นเกย์หลายรายส่งข้อความมาหาผมบนเฟสบุ๊กพร้อมกับบอกว่าผมเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พิเศษมาก แต่ผมยังไม่ได้พบนักวิทยาศาสตร์เกย์คนอื่นเลย
คุณต้องการทำอะไรเมื่อคุณโตขึ้นในอนาคต?
ผมต้องการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ (MD)
คุณหมายถึงการเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ทางแพทย์ในระดับปริญญาเอกนะเหรอ?
ขอโทษด้วยแต่ผมคงจะไม่เรียนจนถึงระดับปริญญาเอกหรอกนะ แต่การวิจัยในห้องแล็บคงจะไม่ตัดผมออกเพราะไม่มีปริญญาเอก ผมแค่ไม่อยากทำด้านวิชาการ ผมอยากทำด้านคลีนิกวิทยา ทำธุรกิจและก็ช่วยเหลือสังคมอะไรแบบนี้
คุณทำงานวิจัยอะไรบ้างอยู่ในขณะนี้?
ในขณะนี้ผมกำลังทำงานอยู่ในแล็บนาโนไบโอเทคโนโลยี ซึ่งผมกำลังทำโปรเจกต์ Qualcomm] Tricorder XPRIZE มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์อยู่ มันเป็นการพัฒนาบางสิ่งที่มีขนาดเท่าสมาร์ทโฟนให้สามารถวินิจฉัยโรคอะไรก็ได้อย่างทันทีทันใด ซึ่งสมาชิกทีมของผมเป็นนักเรียนหัวกะทิระดับมัธยมปลายจากทั่วโลกทำงานร่วมกันผ่านสไกป์แข่งกับทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวนราว 300 ทีมที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น เราสไกป์กันเยอะมาก