เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) เผย ตัวเลขเงินออมของประชาชนในเมืองผู้ดีลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 40 ปี
ข้อมูลล่าสุดที่มีการเปิดเผยโดยธนาคารกลางอังกฤษระบุว่า ชาวอังกฤษถอนเงินออมของตนออกจากบัญชีเงินฝากระยะยาวคิดเป็นวงเงินรวมกันถึงกว่า 23,000 ล้านปอนด์ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา หรือเท่ากับชาวอังกฤษ 1 ครอบครัว จะมีการถอนเงินออมระยะยาวของตนออกมาใช้โดยเฉลี่ยครอบครัวละ 900 ปอนด์ (ราว 47,480 บาท)
มาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่า ตัวเลขการถอนเงินออมระยะยาวของคนอังกฤษดังกล่าวถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี และเป็นการส่งสัญญาณว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาของอังกฤษในเวลานี้ กำลังส่งผลกระทบต่อปากท้องและชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างสำคัญ
อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการแบงก์ ออฟ อิงแลนด์ ยอมรับว่า การถอนเงินออมอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะเงินออมระยะยาวของชาวอังกฤษนั้น กลับส่งผลดีในแง่ของการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการบริโภคในประเทศอย่างไม่คาดคิด ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องมานานของอังกฤษเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว และยังพบการขยายตัวของกระแสเงินสดหมุนเวียนในมือของประชาชนอังกฤษในปีที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นราว 11.2 เปอร์เซ็นต์
ด้าน รอส อัลต์แมนน์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบายของรัฐบาลอังกฤษออกโรงเตือนว่า ตัวเลขการถอนเงินออม โดยเฉพาะเงินออมระยะยาวของชาวอังกฤษที่สูงถึง 23,000 ล้านปอนด์ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ถือเป็นระดับการถอนเงินในระดับที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง และการที่ประชาชนมีอันต้องหยุดฝากเงินเพราะปัญหาปากท้องนั้น จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการวางแผนทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะยาว
“ปัญหาที่สำคัญคือ ไม่มีเศรษฐกิจใดในโลก จะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ในระยะยาว หากปราศจากเงินออมของประชาชน” อัลต์แมนน์ กล่าว
