เอเอฟพี - พวกเขาคือประชาชนที่เป็นหนี้มากที่สุดในโลก และต้องอดทนผ่านช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานและมืดมิด อีกทั้งยังมีช่วงชีวิตสั้นกว่าพลเมืองของหลายๆ ประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
แต่กระนั้นในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาชาวเดนมาร์กก็ยังจัดให้ตนเองเป็นชนชาติที่มีความสุขมากที่สุดในโลกอยู่เสมอ
ส่วนชาวต่างชาติในเดนมาร์กได้เพียรพยายามหาทฤษฎีต่างๆ มาอธิบายว่าเหตุใดประชากรเจ้าของประเทศจึงพึงพอใจกับความเป็นอยู่ของตัวเองมากมายเช่นนี้ โดยมีตั้งแต่นโยบายสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมกัน ประวัติศาสตร์ของชาติ ไปจนถึงการพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะคนบางกลุ่มมีความสุขที่เรียบง่ายกว่าคนอื่น
“ที่นี่คุณสามารถก้าวไปสู่ตำแหน่งนักการเมืองระดับสูง หรือกรรมการบริหารบริษัท แม้ว่าคุณเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง” โจเซฟิน โฮเอจ์ หญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้ที่ย้ายมาอาศัยในประเทศสแกนดิเนเวียแห่งนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วกล่าว
กระทั่งตัวชาวเดนมาร์กเองก็ข้องใจไม่แพ้กันกับความสุขที่พวกเขาถูกกล่าวอ้างว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม และบางครั้งนำเรื่องนี้มาเอ่ยอย่างขบขัน เมื่อข้อมูลชี้ว่าพวกเขาไม่น่าจะมีความสุขขนาดนั้น เป็นต้นว่า ข้อมูลจากองค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ที่ระบุว่าชาวเดนมาร์กต่อหัว เป็นผู้บริโภคยาแก้โรคซึมเศร้ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
ในปีนี้ ประเทศนี้ขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของรายงานประจำปีขององค์การสหประชาชาติที่มีชื่อว่า “รายงานความสุขทั่วโลก” (World Happiness) แม้ว่าจะกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในรายงานฉบับนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามจะถูกขอให้ประเมินสถานะความเป็นอยู่ในปัจจุบันของตนเอง โดยกำหนดระดับความพอใจตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 10 ซึ่งตัวเลขระดับสูงสุดนั้นหมายถึงชีวิตที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะมีได้ ในขณะที่เลข 0 หมายถึงชีวิตอันเลวร้ายที่สุด
ทั้งนี้ เดนมาร์กได้คะแนนเฉลี่ย 7.693
“หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวเดนมาร์กมีความสุข ก็คือ ความมั่นคงปลอดภัยในสังคมเดนมาร์ก” เมก ไวกิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความสุข ซึ่งเป็นองค์การคลังสมองของเดนมาร์ก ที่มีพันธกิจในการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และอื่นๆ ทั้งในเดนมาร์ก และต่างประเทศ
“ความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับที่สูงมาก หากถูกเลิกจ้าง รัฐบาลก็ยังช่วยเหลือเรา เมื่อไม่สบาย เราก็สามารถไปโรงพยาบาลได้ และอื่นๆ อีกมากมาย” เขากล่าวเสริม
ถึงแม้เดนมาร์กจะเป็นประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีสูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละของเศรษฐกิจโดยรวม แต่ชาวเดนมาร์กจำนวนมากก็ตระหนักถึงคุณค่าของเงินประกันสังคมที่ได้รับกลับมา ซึ่งรวมถึง การได้เงินสงเคราะห์เพื่อดูแลเด็ก และเงินประกันสังคมการว่างงาน ซึ่งประชาชนจะได้รับเงิน 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง เป็นเวลา 2 ปี หากพวกเขาถูกเลิกจ้าง
ทั้งนี้ รัฐบาลกลางซ้ายชุดปัจจุบันจำเป็นต้องตัดทอนผลประโยชน์บางส่วน เป็นต้นว่า ทุนการศึกษาให้เปล่า และเงินประกันสังคมสำหรับการว่างงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ มอบให้นานถึง 4 ปี แต่ถึงแม้จะลดลงแล้ว เดนมาร์กก็ยังคงขึ้นนำเป็นชาติที่ใจกว้างที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ดี
นอกจากนี้ ไวกิ้งยังบอกด้วยว่าสิ่งสำคัญอีกประการที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีความสุขก็คือ การที่ประชาชนมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันสูง แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าที่เดินตามท้องถนน
สิ่งนี้อาจเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ประชาชนไว้วางใจในรัฐบาลมาก เนื่องจากมีประวัติการคอรัปชันน้อย
“เรามีความเชื่อว่า สถาบันประชาธิปไตยต่างๆ ของเราคอยปกป้องดูแลเรา และรัฐต้องการทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อเรา” เขากล่าว
***
ความเป็นรัฐสวัสดิการของเดนมาร์ก ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคยุโรปเหนืออะไรนักหนา ทว่า ผลสำรวจชี้ว่าประเทศนี้มีคะแนนสูงกว่าพวกประเทศเพื่อนบ้านในด้านความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม ซึ่งเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนประเทศนี้มีความสุข
ไวกิ้งชี้ว่า “สังคมเดนมาร์ก มีความสมัครสมานสามัคคีกว่า และคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมก็ค่อนข้างแน่นแฟ้นกว่า” ประเทศสแกนดิเนเวียอื่นๆ
“ประเทศนี้มีชมรมและสมาคมต่างๆ มากมายที่สมาชิกส่วนใหญ่จะมองข้ามความแตกต่างทางชนชั้นอยู่บ่อยครั้ง อย่างที่ชมรมหมากรุก ผู้บริหารสูงสุดอาจจะเล่นกับใครสักคนที่เป็นพนักงานของร้านค้าก็ได้”
ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่อาจอธิบายได้ว่าว่าเหตุใดชาวเดนมาร์ก ถึงมองว่าตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในประวัติศาสตร์ประจำชาติ
ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 17 เดนมาร์กเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ทางการของประเทศนี้ระบุว่า ขนาดของดินแดน และอิทธิพลของประเทศในปัจจุบัน “เป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับให้สละดินแดนบางส่วน และการพ่ายแพ้สงครามมานาน 400 ปี”
“ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะอะไรเลย เอาแต่แพ้ลูกเดียว และนั่นทำให้ชาวเดนมาร์กสนใจแต่ประเทศของตน และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่พวกเขาหลงเหลืออยู่” ไมเคิล บูต ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่เดนมาร์กกล่าว ทั้งนี้เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ประเทศที่เขาย้ายมาอาศัยอยู่ โดยมีชื่อว่า “ชนชาติผู้เกือบสมบูรณ์แบบ” (The Almost Nearly Perfect People)
นอกจากนี้ เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ชาวเดนมาร์กมีความสามารถในการปฏิเสธความจริงที่น่าเบื่อหน่าย
“พวกเขาเป็นประชาชนที่มีหนี้ส่วนบุคคลในระดับสูงที่สุดของโลก ... แต่พวกเขาก็เก่งในเรื่องการปล่อยวางปัญหา แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป” เขากล่าว
“ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พวกเขาเก่งในเรื่องการให้อภัยแก่บุคคลสำคัญของสาธารณะ ที่ทำผิด อย่างอันเดอร์ส โฟฟ รัสมุสเซ็น นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ทำให้ประเทศชาติต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามเลวร้ายถึงสองครั้งสองครา คือ สงครามที่อัฟกานิสถาน และอิรัก อีกทั้งประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เรื่องอีกด้วย”
บูตกล่าวเสริมว่า “เขาทำให้เศรษฐกิจย่อยยับขนานแท้ แต่คุณจะไม่มีทางได้ยินใครพูดถึงเขาในแง่ร้ายหรอก”
นอกจากนั้น ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวเดนมาร์กไม่ต้องทำงานหนักมากนัก โดยเฉลี่ยพวกเขาทำงานเพียงสัปดาห์ละ 33 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของมูลนิธิร็อกวูล
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตอนต้นๆ เขารู้สึกเกลียดภาษี สภาพอากาศ “และความรู้สึกอับอายในความทะเยอทะยาน และความสำเร็จของปัจเจกชนที่น่าอึดอัด” บูตก็ยอมรับว่านับตั้งแต่เขาเป็นพ่อคน ก็ไม่คิดว่ามีที่ไหนน่าอยู่ไปกว่าเดนมาร์กอีกแล้ว
“เดนมาร์ก ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดก็คงเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกในการมีลูก เพราะที่เดนมาร์กทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อการมีครอบครัว”