เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ข้อมูลล่าสุดชี้การตัดไม้ทำลายป่าในเขตพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอเมซอนของบราซิลเพิ่มสูงขึ้นถึง 28 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา โดยนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมระบุ สาเหตุเป็นเพราะความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายด้านการอนุรักษ์ของรัฐบาลแดนแซมบ้าภายใต้การนำของประธานาธิบดีหญิงดิลมา รูสเซฟฟ์
อิซาเบลลา เตเซอีร์ รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของบราซิล เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุดที่ทางกระทรวงฯ มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระทำการสำรวจสภาพพื้นที่ป่าไม้แถบลุ่มน้ำอเมซอน ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สัดส่วนของป่าไม้ที่ถูกทำลายในบริเวณดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นถึง 28 เปอร์เซ็นต์ระหว่างช่วงเดือนสิงหาคมปี 2012 จนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้
รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ระดับของป่าไม้ที่ถูกตัดโค่นนั้นอยู่ในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้ และอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของทางการแดนแซมบ้าเองที่ระบุจะลดปริมาณการตัดไม้ทำลายป่าแถบลุ่มน้ำอเมซอนให้ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020 หรือ 7 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานดังกล่าวระบุว่า มีพื้นที่ป่าไม้ในลุ่มแม่น้ำอเมซอนถูกทำลายไปกว่า 2,255 ตารางไมล์ระหว่างช่วงเดือนสิงหาคมปี 2012 จนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ สูงกว่าช่วงเดียวกันใน 12 เดือนก่อนหน้านี้ที่มีพื้นที่ป่าถูกตัดโค่นทำลาย 1,765 ตารางไมล์
บรรดากลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มต่างลงความเห็นตรงกันว่าความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายด้านการอนุรักษ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีดิลมา รูสเซฟฟ์ คือ ต้นเหตุสำคัญที่นำไปสู่การลดลงของพื้นที่ป่าในอเมซอน รวมถึง การตัดสินใจของรัฐบาลที่ลดจำนวนพื้นที่อนุรักษ์ลงและหันไปส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เพาะปลูกได้โดยไม่มีความผิด ได้กลายเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้พื้นที่ป่าอเมซอนลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
