เอเจนซีส์ - อเมริกาเข้าสู่วันที่ 3 ที่หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องหยุดทำงาน และถึงแม้โอบามาแถลงเตือนท่ามกลางความวิตกกังวลของแวดวงธุรกิจเอกชนตลอดจนนานาชาติ ว่าวิกฤตงบประมาณครั้งนี้อาจนำไปสู่การผิดนัดหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ทำเนียบขาวและรีพับลิกันก็ยังคงไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา พบปะกับผู้นำระดับสูงของพรรครีพับลิกันราว 1 ชั่วโมงในวันพุธ (2) ทว่า ไม่สามารถยุติวิกฤตงบประมาณที่ส่งผลให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางหลายแสนคนถูกพักงานโดยไม่ได้เงินเดือน ขณะที่พิพิธภัณฑ์และสวนสาธารณะทั่วสหรัฐฯ ปิดให้บริการ
นายทหารระดับสูงของสหรัฐฯระบุว่า การปิดทำการของหน่วยงานรัฐคราวนี้ยังบ่อนทำลายการปฏิบัติการวันต่อวันของฝ่ายทหารอย่างร้ายแรง ส่วนผู้นำประชาคมข่าวกรองขานรับว่า ความสามารถในการติดตามตรวจสอบภัยคุกคามได้ถูกลดทอนลงอย่างมาก และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ชี้ว่า สถานการณ์เช่นนี้กำลังกลายเป็นถ่วงเวลาในการประเมินว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปหรือไม่
ปมของวิกฤตงบประมาณครั้งนี้มาจากการที่กลุ่มอนุรักษนิยมสุดขั้ว “ทีปาร์ตี” ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงในพรรครีพับลิกัน ต้องการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุขของโอบามา หรือ “โอบามาแคร์” โดยตั้งเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินการดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเขาจะเปิดทางให้อนุมัติงบประมาณชั่วคราวฉุกเฉินสำหรับใช้ไปพลางก่อนภายหลังปีงบประมาณ 2012/13 สิ้นสุดลงในวันจันทร์ (30 ก.ย.) แต่ประธานาธิบดีและพรรคเดโมแครตยืนกรานหนักแน่นไม่ยินยอม
จนกระทั่งเวลานี้ สองพรรคใหญ่ยังคงกล่าวหากันและกัน ทำให้ไม่เห็นโอกาสที่วิกฤตนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน
จอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน เปิดเผยหลังการหารือในวันพุธว่า โอบามาย้ำมากกว่า 1 ครั้งว่า จะไม่เจรจาต่อรองใดๆ ขณะที่ผู้นำทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า จะไม่เจรจาเรื่องงบประมาณจนกว่ารีพับลิกันจะเปิดทางให้ผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐเปิดดำเนินการอีกครั้ง รวมทั้งให้ขยายเพดานการก่อหนี้ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์โดยปราศจากเงื่อนไข
ในอีกด้านหนึ่ง เดโมแครตแสดงท่าทีว่า พร้อมที่จะแต่งตั้งคณะเจรจาเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับงบประมาณในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่รีพับลิกันต้องการ ถ้าหากรีพับลิกันตกลงอนุมัติงบประมาณเฉพาะหน้าสำหรับให้รัฐบาลใช้จ่ายไปได้ในระยะ 6 สัปดาห์ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขให้แก้ไขกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข
ก่อนหน้าที่จะหารือกับพวกผู้นำรีพับลิกัน ผู้นำทำเนียบขาวยังส่งสัญญาณเตือนชัดเจนแบบไม่เคยมีมาก่อนไปยังวอลล์สตรีทว่า วิกฤตการเมืองที่ทำให้รัฐบาลกลางเป็นอัมพาตในขณะนี้อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล หากรัฐสภาไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้ภายใน 2 สัปดาห์ที่จะถึง ซึ่งจะส่งผลรุนแรงกว่าขณะนี้หลายเท่า โดยที่แน่ๆ คือ อเมริกา ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้โอบามาได้นัดพบหารือกับพวกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำในวอลล์สตรีท โดยหวังว่า บุคคลเหล่านี้จะช่วยกดดันให้โบห์เนอร์ยินยอมผ่านงบประมาณใช้จ่ายชั่วคราวของรัฐบาล
ภายหลังการหารือกับโอบามาแล้ว ลอยด์ แบลงก์ไฟน์ นายใหญ่โกลด์แมน แซคส์ออกมาเตือนว่า อเมริกาจะถูกผลักไปอยู่บนขอบเหวหากไม่สามารถเพิ่มเพดานการก่อหนี้ได้
วิกฤตงบประมาณคราวนี้ นอกจากทำให้หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งต้องปิดทำการแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้โอบามาตัดสินใจระงับการเยือนมาเลเซียและฟิลิปปินส์ในสัปดาห์หน้าด้วย
ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างจับตาสถานการณ์ในวอชิงตันอย่างใกล้ชิด
สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนวิจารณ์ว่า ศึกในวอชิงตันตอกย้ำ “ด้านอัปลักษณ์ของการเมืองแบบแบ่งพรรคแบ่งพวกของอเมริกา”
ซินหวาสำทับว่า แม้ผลกระทบเฉพาะหน้ายังจำกัด แต่ความเสียหายอาจเพิ่มพูนทวีคูณหากละครน้ำเน่าในวอชิงตันยืดเยื้อหลายวันและกระทั่งหลายสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เกิดความกังวลว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาอาจลุกลามกว้างขวาง
ขณะที่ เดวิด สมิธ อาจารย์แห่งศูนย์สหรัฐฯศึกษาของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ชี้ว่า หากอเมริกาผิดนัดชำระหนี้ จะเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า แดนอินทรีไม่ได้เป็นลูกหนี้ที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป และส่งผลร้ายแรงอย่างมากเมื่อพิจารณาจากปริมาณหนี้ซึ่งสหรัฐฯมีอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับ เซซาร์ ปูริสิมา รัฐมนตรีคลังฟิลิปปินส์ขานรับว่า การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นข่าวร้ายของทั่วโลก พร้อมเรียกร้องให้อเมริกาแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับการขยายเพดานการก่อหนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ชาติเอเชียสำคัญอย่างจีนและญี่ปุ่น กังวลอย่างมาก เนื่องจากถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ มูลค่ามหาศาล
ขุนคลังแดนตากาล็อกยังเตือนว่า การผิดนัดชำระหนี้ของอเมริกาจะสร้างความปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนให้แก่ตลาดการเงินโลก
ส่วนที่ยุโรปซึ่งยังเพิ่งเริ่มฟื้นจากวิกฤตหนี้และภาวะถดถอย มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า หากหน่วยงานรัฐบาลของอเมริกาปิดทำการเป็นเวลานาน จะถือเป็นความเสี่ยงไม่เพียงสำหรับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจโลก