(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Indian widows celebrate at last
By Sudeshna Sarkar
29/08/2013
แม่ม่ายสามีตายซึ่งอยู่ในวรรณะชั้นสูงของอินเดีย ได้ถูกปฏิเสธเบือนหน้าหนีมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เพียงเพราะเชื่อกันว่าพวกเธอเป็น “ตัวเสนียด” ที่จะทำให้ผู้พบเห็นประสบเคราะห์ร้าย แต่ในเวลานี้พวกเธอกำลังได้รับอนุญาตให้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ในที่สุด หลังจากที่องค์การแห่งหนึ่งได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องเพื่อพวกเธอ อย่างไรก็ดี ยังจำเป็นที่จะต้องมีการออกกฎหมายใหม่ๆ เพื่อให้มีหลักประกันว่าแม่ม่ายเหล่านี้จะได้รับการศึกษาและการฝึกอาชีพ ซึ่งจะช่วยให้พวกเธอสามารถมีที่ยืนอันถูกต้องเหมาะสมภายในสังคมแดนภารตะ
พาราณสี, อินเดีย – นะมุนา กาวทัม (Namuna Gautam) เป็น 1 ในผู้หญิงอินเดียจำนวนเรือนล้านที่ได้เฉลิมฉลองเทศกาล “รักษะบันธัน” (Rakshabandhan) ในปีนี้ ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอแตกต่างออกไปจากสตรีคนอื่นๆ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หญิงชราวัย 80 ปีผู้นี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมเทศกาลดังกล่าว ซึ่งบรรดาพี่สาวน้องสาวจะสวดมนตร์อวยชัยให้แก่บรรดาพี่ชายน้องชายของพวกเธอเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ทั้งนี้ช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา กาวทัมคือส่วนหนึ่งของขนบธรรมเนียมอันดำมืดในอินเดีย ซึ่งปฏิเสธเบือนหน้าหนีจากแม่ม่ายสามีตาย โดยมองว่าเป็นตัวเสนียดที่ทำให้เกิดเคราะห์ร้าย และขับไสไล่ส่งพวกเธอออกจากบ้านเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองคนอื่นๆ ในครอบครัว
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีของฉันหน้าตาเป็นยังไงหรือเสียงของเขาเป็นยังไง” กาวทัม บอกกับสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (Inter Press Service ใช้อักษรย่อว่า IPS) ขณะที่เธอนั่งอยู่ตรงระเบียงที่มืดทึบและชื้นแฉะของ “เรือนแม่ม่าย” ในเมืองพาราณสี ที่ซึ่งเธอถูกส่งตัวมาเพื่อพำนักระหว่างรอวันตาย ตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียงแค่ 14 ปี
“ฉันแต่งงานตอนที่ฉันอายุได้ 10 ขวบ ในระหว่างพิธีแต่งงานนั้น ฉันต้องคอยระวังให้ผ้าคลุมหน้าของฉันเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ยังงั้นคนเขาก็จะคิดว่าฉันหน้าด้านไม่มียางอาย สามีของฉันตายไปในปีเดียวกันนั้นเอง และพวกครอบครัวทางสามีของฉันก็พูดกันว่า ฉันเป็นตัวนำเคราะห์ร้ายไปให้พวกเขา" เฉกเช่นเดียวกับสตรีอินเดียจำนวนมากในยุคสมัยนั้น เธอต้องแต่งงานตั้งแต่ในวัยเด็ก แล้วค่อยอยู่ร่วมกับสามีของเธอแบบคู่ครองจริงๆ ในเวลาต่อไป
กาวทัม ซึ่งเป็นบุตรสาวของครอบครัวชาวนายากจน ไม่ได้เคยเข้าโรงเรียน และหลังจากสามีตายแล้ว เธอก็ถูกส่งตัวไปดูแลปรนนิบัติลุงผู้เป็นพี่ชายของแม่ของเธอ และป้าผู้เป็นภรรยาของลุงผู้นี้
“ลุงกับป้าตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายที่พาราณสี เพราะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ถ้าคุณตายที่นี่คุณจะได้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดและความทุกข์ทั้งหลาย” กาวทัม เล่าต่อ “ฉันมาอยู่กับพวกเขา และเมื่อพวกเขาตาย ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะมีคนให้ทาน แล้วฉันก็ทำงานเป็นคนครัวและคนทำความสะอาดให้คนอื่นๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่แข็งแรงแล้ว ทำงานไม่ได้แล้ว”
กาวทัม เป็นหนึ่งในบรรดาแม่ม่ายสามีตายที่สังกัดอยู่ในวรรณะชั้นสูงของฮินดู พวกเธอมีจำนวนเป็นร้อยๆ คนทีเดียว ในช่วงเวลาที่เธอเกิดและเติบโตขึ้นมานั้น การศึกษาสำหรับผู้หญิงเป็นสิ่งที่หายากมาก ขณะที่ธรรมเนียมซึ่งสามีมีภรรยากันหลายคนก็แพร่หลาย และบุตรสาวนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินของครอบครัวเลย
“รัฐเบงกอล (รัฐทางภาคตะวันออกของอินเดีย) มีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน ในเรื่องที่ผู้คนมีการศึกษาดี และมีการปฏิรูปทางด้านวัฒนธรรมและทางสังคม ทว่ารัฐแห่งนี้ยังคงปฏิบัติต่อแม่ม่ายอายุเยาว์ของพวกเขาด้วยวิธีที่น่าตกใจมาก คุณไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า สองด้านนี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันในรัฐแห่งเดียวกันอย่างนี้ได้ยังไง” บินเทศวาร์ ปะธัค (Bindeshwar Pathak) ผู้ประกอบการวิสาหกิจด้านสังคมที่มีชื่อเสียงตั้งข้อสังเกต
องค์การของเขาที่มีชื่อว่า สุลาภ อินเตอร์เนชั่นแนล (Sulabh International) เป็นที่รู้จักกันในเรื่องการรณรงค์ทางด้านอนามัยสุขาภิบาล แต่มาในตอนนี้กำลังยื่นมือเข้าช่วยเหลือบรรดาแม่ม่ายผู้แก่เฒ่าที่ถูกทอดทิ้งและถูกหลงลืม เพื่อให้พวกเธอได้รับ “ศักดิ์ศรีและการเอาใจใส่ดูแลอย่างชนิดที่พวกเธอไม่เคยได้รับมาก่อน”
“ผู้หญิงสูงอายุเหล่านี้ถูกจับแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยมากๆ บางคนอายุเพียง 5 หรือ 6 ขวบเท่านั้น ขณะที่สามีของพวกเธอซึ่งมีอายุมากกว่าเยอะ ก็มักแต่งงานหลายหน เมื่อพวกเขาตายไป ก็จึงกลายเป็นทอดทิ้งแม่ม่ายอายุน้อยหลายสิบคนเอาไว้เบื้องหลัง
“พวกเด็กสาวเหล่านี้จะถูกบังคับให้โกนหัว และต้องแต่งกายด้วยผ้าสีขาวที่เนื้อหยาบกระด้างที่สุดเท่านั้น แล้วยังกินอาหารได้เพียงวันละมื้อ และถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมในกิจกรรมทางสังคมทั้งหลายทั้งปวง เนื่องจากพวกเธอถูกมองว่าเป็นตัวเสนียด”
อุษา มิชรา (Usha Mishra) ปล่อยโฮร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะที่เธอเล่าถึงการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของเธอ ภายหลังสามีของเธอซึ่งเป็นพ่อค้ารายเล็กๆ เสียชีวิตลงหลังจากพวกเขาแต่งงานกันได้ 4 ปี “ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันแต่งงาน” สตรีวัย 55 ปีซึ่งหน้าตาดูแก่เฒ่ากว่านั้นมาก เล่าย้อนความหลัง “พออายุได้ 19 ฉันก็กลายเป็นม่ายโดยมีลูกสาวอายุ 2 ขวบคนหนึ่ง”
ธรรมเนียมปฏิบัติอันเก่าแก่ในแดนภารตะที่เรียกกันว่า “สตี” (sati) ซึ่งนำเอาแม่ม่ายทั้งหลายมาเผาทั้งเป็นพร้อมๆ กับการฌาปนกิจศพผู้เป็นสามีของพวกเธอ ได้ถูกสั่งห้ามไปตั้งแต่ปี 1839 แต่แม้ได้รอดชีวิตจากความตายอันน่าขนลุก แม่ม่ายสามีตายส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องเผชิญกับชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง เต็มไปด้วยความขาดแคลนและการถูกดูหมิ่นหยามเหยียด
ชัยธัญญา (Chaitanya) นักปฏิรูปสังคมในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้นำหญิงม่ายสามีตายกลุ่มหนึ่งจากเบงกอล ไปที่เมืองวรินตาวัน (Vrindavan) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับนครเดลลี เพื่อให้พวกเธอได้มีที่อยู่อาศัย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสที่ตระกูลต่างๆ นำเอาหญิงม่ายในครอบครัวของพวกเขาไปยังเมืองพาราณสี และเมืองวรินตาวัน จากนั้นก็ปล่อยพวกเธอเอาไว้ที่นั่น
นอกจากต้องลดตัวลงไปใช้ชีวิตขอทานหรือผู้ใช้แรงงานทำงานสกปรกต่างๆ อย่างน่าสังเวชแล้ว ยังมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับแม่ม่ายที่อายุน้อยถูกบังคับให้กลายเป็นโสเภณีอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่อง “วอเตอร์” (Water) ผลงานในปี 2005 ของ ทีปา เมห์ตา (Deepa Mehta) นักสร้างหนังสัญชาติแคนาดาเชื้อสายอินเดีย ได้นำเอาชะตากรรมของหญิงม่ายที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มาเปิดเผยสู่แสงสว่าง
จากนั้นก็ยังมีรายงานข่าวของสื่อมวลชนต่างๆ ตามมา “รายงานข่าวเหล่านี้ทำให้เป็นที่สนใจของศาลสูงสุด ซึ่งได้ขอให้ฝ่ายกฎหมายของตน อันได้แก่ สำนักงานบริการทางกฎหมายแห่งชาติ (National Legal Service Authority ใช้อักษรย่อว่า NALSA) สืบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้” ปะธัค เล่า
“ในเดือนสิงหาคม 2012 พวกเรารู้สึกประหลาดใจมากที่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก NALSA บอกว่ามีแม่ม่ายยากไร้แบบนี้ถึงประมาณ 1,700 คน และสอบถามว่า ทาง สุลาภ กับ ISKCON (สมาคมระหว่างประเทศเพื่อความสำนึกในพระกฤษณะ International Society for Krishna Consciousness ซึ่งเป็นองค์การทางศาสนา) สามารถจัดหาอาหารวันละ 2 มื้อให้ผู้หญิงเหล่านี้ได้ไหม
“ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทาง สุลาภ มีความเชี่ยวชาญเลย แต่พวกเราก็ยังคงเดินทางไปที่เมืองวรินตาวัน เพื่อพบปะกับหญิงม่ายเหล่านี้ และสิ่งที่พวกเราพบเห็นนั้นทำให้หัวใจสลายจริงๆ”
ขณะที่ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 70 เศษ แต่มีอยู่บางคนอายุมากถึง 80 เศษ และ 90 เศษทีเดียว รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh ซึ่งเมืองวรินตาวันสังกัดอยู่) ได้เคยให้เงินสงเคราะห์พวกเธอเดือนละ 500 รูปี (ราว 250 บาท) หลังจากที่มีการรายงานเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเธอกันอย่างกว้างขวาง ทว่าหลังจากผ่านไป 3 ปีเงินสงเคราะห์ดังกล่าวนี้ก็ถูกตัด
“หลังจากนั้น พวกเธอที่อยู่ในวรินตาวัน ก็ต้องพยายามอยู่รอดให้ได้ด้วยเงิน 10 รูปีต่อวัน ซึ่งเป็นเงินที่พวกผู้รับผิดชอบของวัดฮินดูจ่ายให้ ถ้าหากพวกเธอเข้าร่วมการสวดมนตร์ในตอนเช้าและในตอนเย็น” วินิตา วารมา (Vinita Varma) หัวหน้าโครงการดูแลหญิงม่ายที่ สุลาภ บอกกับสำนักข่าวไอพีเอส
“คนที่อายุน้อยลงมายังสามารถหารายได้เพิ่มเติม ด้วยการทำหน้าที่คอยจุดตะเกียง และคอยเย็บปักทำเสื้อผ้าสำหรับเทวรูปต่างๆ แต่คนที่อายุมากๆ ซึ่งทำงานไม่ไหวแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากการขอทาน”
สุลาภ ได้รับอุปการะดูแลหญิงม่ายเป็นจำนวน 1,000 คนในเมืองวรินตาวัน และเมืองพาราณสี โดยจัดหาความช่วยเหลือสนับสนุนพวกเธอเป็นจำนวนรายละ 2,000 รูปีต่อเดือน ตลอดจนให้พวกเธอได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน และการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาถึงตอนนี้ สุลาภ ยังกำลังพยายามที่จะเชื่อมโยงพวกเธอเข้ากับชุมชนที่ได้ทอดทิ้งละเลยพวกเธอมาอย่างยาวนาน
เมื่อปีที่แล้ว ส่าหรีสีขาวของบรรดาหญิงม่ายในเมืองวรินตาวัน ได้เปลี่ยนไปเป็นสีชมพูและสีเขียวอันแสนมหัศจรรย์ เมื่อพวกเธอร่วมเล่น “โฮลิ” (Holi) เทศกาลสาดสีเข้าใส่กัน ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเธอเคยถูกห้ามไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้อง
มาถึงปีนี้ บรรดาหญิงม่ายของเมืองพาราณสีได้เฉลิมฉลองเทศกาลรักษะบันธัน และในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ พวกเธอบางคนจะได้กลับไปยังรัฐเบงกอลภายหลังที่ได้จากมาหลายสิบปี เพื่อชมพิธี “ทุรคา บูชา” (Durga Puja) ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีที่ใหญ่ที่สุดของชาวเบงกอล
ปะธัค ยังกำลังพยายามล็อบบี้เพื่อให้มีการออกกฎหมายที่จะเป็นหลักประกันว่า หญิงม่ายจะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมทางวิชาชีพ “ในทันทีที่พวกเธอกลายเป็นคนมีรายได้หาเงินเข้าครอบครัวได้ ครอบครัวของพวกเธอก็จะต้องยอมรับนับถือพวกเธออย่างแน่นอน”
(สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส)
Indian widows celebrate at last
By Sudeshna Sarkar
29/08/2013
แม่ม่ายสามีตายซึ่งอยู่ในวรรณะชั้นสูงของอินเดีย ได้ถูกปฏิเสธเบือนหน้าหนีมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เพียงเพราะเชื่อกันว่าพวกเธอเป็น “ตัวเสนียด” ที่จะทำให้ผู้พบเห็นประสบเคราะห์ร้าย แต่ในเวลานี้พวกเธอกำลังได้รับอนุญาตให้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ในที่สุด หลังจากที่องค์การแห่งหนึ่งได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องเพื่อพวกเธอ อย่างไรก็ดี ยังจำเป็นที่จะต้องมีการออกกฎหมายใหม่ๆ เพื่อให้มีหลักประกันว่าแม่ม่ายเหล่านี้จะได้รับการศึกษาและการฝึกอาชีพ ซึ่งจะช่วยให้พวกเธอสามารถมีที่ยืนอันถูกต้องเหมาะสมภายในสังคมแดนภารตะ
พาราณสี, อินเดีย – นะมุนา กาวทัม (Namuna Gautam) เป็น 1 ในผู้หญิงอินเดียจำนวนเรือนล้านที่ได้เฉลิมฉลองเทศกาล “รักษะบันธัน” (Rakshabandhan) ในปีนี้ ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอแตกต่างออกไปจากสตรีคนอื่นๆ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หญิงชราวัย 80 ปีผู้นี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมเทศกาลดังกล่าว ซึ่งบรรดาพี่สาวน้องสาวจะสวดมนตร์อวยชัยให้แก่บรรดาพี่ชายน้องชายของพวกเธอเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ทั้งนี้ช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา กาวทัมคือส่วนหนึ่งของขนบธรรมเนียมอันดำมืดในอินเดีย ซึ่งปฏิเสธเบือนหน้าหนีจากแม่ม่ายสามีตาย โดยมองว่าเป็นตัวเสนียดที่ทำให้เกิดเคราะห์ร้าย และขับไสไล่ส่งพวกเธอออกจากบ้านเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองคนอื่นๆ ในครอบครัว
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีของฉันหน้าตาเป็นยังไงหรือเสียงของเขาเป็นยังไง” กาวทัม บอกกับสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (Inter Press Service ใช้อักษรย่อว่า IPS) ขณะที่เธอนั่งอยู่ตรงระเบียงที่มืดทึบและชื้นแฉะของ “เรือนแม่ม่าย” ในเมืองพาราณสี ที่ซึ่งเธอถูกส่งตัวมาเพื่อพำนักระหว่างรอวันตาย ตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียงแค่ 14 ปี
“ฉันแต่งงานตอนที่ฉันอายุได้ 10 ขวบ ในระหว่างพิธีแต่งงานนั้น ฉันต้องคอยระวังให้ผ้าคลุมหน้าของฉันเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ยังงั้นคนเขาก็จะคิดว่าฉันหน้าด้านไม่มียางอาย สามีของฉันตายไปในปีเดียวกันนั้นเอง และพวกครอบครัวทางสามีของฉันก็พูดกันว่า ฉันเป็นตัวนำเคราะห์ร้ายไปให้พวกเขา" เฉกเช่นเดียวกับสตรีอินเดียจำนวนมากในยุคสมัยนั้น เธอต้องแต่งงานตั้งแต่ในวัยเด็ก แล้วค่อยอยู่ร่วมกับสามีของเธอแบบคู่ครองจริงๆ ในเวลาต่อไป
กาวทัม ซึ่งเป็นบุตรสาวของครอบครัวชาวนายากจน ไม่ได้เคยเข้าโรงเรียน และหลังจากสามีตายแล้ว เธอก็ถูกส่งตัวไปดูแลปรนนิบัติลุงผู้เป็นพี่ชายของแม่ของเธอ และป้าผู้เป็นภรรยาของลุงผู้นี้
“ลุงกับป้าตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายที่พาราณสี เพราะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ถ้าคุณตายที่นี่คุณจะได้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดและความทุกข์ทั้งหลาย” กาวทัม เล่าต่อ “ฉันมาอยู่กับพวกเขา และเมื่อพวกเขาตาย ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะมีคนให้ทาน แล้วฉันก็ทำงานเป็นคนครัวและคนทำความสะอาดให้คนอื่นๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่แข็งแรงแล้ว ทำงานไม่ได้แล้ว”
กาวทัม เป็นหนึ่งในบรรดาแม่ม่ายสามีตายที่สังกัดอยู่ในวรรณะชั้นสูงของฮินดู พวกเธอมีจำนวนเป็นร้อยๆ คนทีเดียว ในช่วงเวลาที่เธอเกิดและเติบโตขึ้นมานั้น การศึกษาสำหรับผู้หญิงเป็นสิ่งที่หายากมาก ขณะที่ธรรมเนียมซึ่งสามีมีภรรยากันหลายคนก็แพร่หลาย และบุตรสาวนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินของครอบครัวเลย
“รัฐเบงกอล (รัฐทางภาคตะวันออกของอินเดีย) มีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน ในเรื่องที่ผู้คนมีการศึกษาดี และมีการปฏิรูปทางด้านวัฒนธรรมและทางสังคม ทว่ารัฐแห่งนี้ยังคงปฏิบัติต่อแม่ม่ายอายุเยาว์ของพวกเขาด้วยวิธีที่น่าตกใจมาก คุณไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า สองด้านนี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันในรัฐแห่งเดียวกันอย่างนี้ได้ยังไง” บินเทศวาร์ ปะธัค (Bindeshwar Pathak) ผู้ประกอบการวิสาหกิจด้านสังคมที่มีชื่อเสียงตั้งข้อสังเกต
องค์การของเขาที่มีชื่อว่า สุลาภ อินเตอร์เนชั่นแนล (Sulabh International) เป็นที่รู้จักกันในเรื่องการรณรงค์ทางด้านอนามัยสุขาภิบาล แต่มาในตอนนี้กำลังยื่นมือเข้าช่วยเหลือบรรดาแม่ม่ายผู้แก่เฒ่าที่ถูกทอดทิ้งและถูกหลงลืม เพื่อให้พวกเธอได้รับ “ศักดิ์ศรีและการเอาใจใส่ดูแลอย่างชนิดที่พวกเธอไม่เคยได้รับมาก่อน”
“ผู้หญิงสูงอายุเหล่านี้ถูกจับแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยมากๆ บางคนอายุเพียง 5 หรือ 6 ขวบเท่านั้น ขณะที่สามีของพวกเธอซึ่งมีอายุมากกว่าเยอะ ก็มักแต่งงานหลายหน เมื่อพวกเขาตายไป ก็จึงกลายเป็นทอดทิ้งแม่ม่ายอายุน้อยหลายสิบคนเอาไว้เบื้องหลัง
“พวกเด็กสาวเหล่านี้จะถูกบังคับให้โกนหัว และต้องแต่งกายด้วยผ้าสีขาวที่เนื้อหยาบกระด้างที่สุดเท่านั้น แล้วยังกินอาหารได้เพียงวันละมื้อ และถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมในกิจกรรมทางสังคมทั้งหลายทั้งปวง เนื่องจากพวกเธอถูกมองว่าเป็นตัวเสนียด”
อุษา มิชรา (Usha Mishra) ปล่อยโฮร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะที่เธอเล่าถึงการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของเธอ ภายหลังสามีของเธอซึ่งเป็นพ่อค้ารายเล็กๆ เสียชีวิตลงหลังจากพวกเขาแต่งงานกันได้ 4 ปี “ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันแต่งงาน” สตรีวัย 55 ปีซึ่งหน้าตาดูแก่เฒ่ากว่านั้นมาก เล่าย้อนความหลัง “พออายุได้ 19 ฉันก็กลายเป็นม่ายโดยมีลูกสาวอายุ 2 ขวบคนหนึ่ง”
ธรรมเนียมปฏิบัติอันเก่าแก่ในแดนภารตะที่เรียกกันว่า “สตี” (sati) ซึ่งนำเอาแม่ม่ายทั้งหลายมาเผาทั้งเป็นพร้อมๆ กับการฌาปนกิจศพผู้เป็นสามีของพวกเธอ ได้ถูกสั่งห้ามไปตั้งแต่ปี 1839 แต่แม้ได้รอดชีวิตจากความตายอันน่าขนลุก แม่ม่ายสามีตายส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องเผชิญกับชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง เต็มไปด้วยความขาดแคลนและการถูกดูหมิ่นหยามเหยียด
ชัยธัญญา (Chaitanya) นักปฏิรูปสังคมในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้นำหญิงม่ายสามีตายกลุ่มหนึ่งจากเบงกอล ไปที่เมืองวรินตาวัน (Vrindavan) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับนครเดลลี เพื่อให้พวกเธอได้มีที่อยู่อาศัย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสที่ตระกูลต่างๆ นำเอาหญิงม่ายในครอบครัวของพวกเขาไปยังเมืองพาราณสี และเมืองวรินตาวัน จากนั้นก็ปล่อยพวกเธอเอาไว้ที่นั่น
นอกจากต้องลดตัวลงไปใช้ชีวิตขอทานหรือผู้ใช้แรงงานทำงานสกปรกต่างๆ อย่างน่าสังเวชแล้ว ยังมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับแม่ม่ายที่อายุน้อยถูกบังคับให้กลายเป็นโสเภณีอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่อง “วอเตอร์” (Water) ผลงานในปี 2005 ของ ทีปา เมห์ตา (Deepa Mehta) นักสร้างหนังสัญชาติแคนาดาเชื้อสายอินเดีย ได้นำเอาชะตากรรมของหญิงม่ายที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มาเปิดเผยสู่แสงสว่าง
จากนั้นก็ยังมีรายงานข่าวของสื่อมวลชนต่างๆ ตามมา “รายงานข่าวเหล่านี้ทำให้เป็นที่สนใจของศาลสูงสุด ซึ่งได้ขอให้ฝ่ายกฎหมายของตน อันได้แก่ สำนักงานบริการทางกฎหมายแห่งชาติ (National Legal Service Authority ใช้อักษรย่อว่า NALSA) สืบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้” ปะธัค เล่า
“ในเดือนสิงหาคม 2012 พวกเรารู้สึกประหลาดใจมากที่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก NALSA บอกว่ามีแม่ม่ายยากไร้แบบนี้ถึงประมาณ 1,700 คน และสอบถามว่า ทาง สุลาภ กับ ISKCON (สมาคมระหว่างประเทศเพื่อความสำนึกในพระกฤษณะ International Society for Krishna Consciousness ซึ่งเป็นองค์การทางศาสนา) สามารถจัดหาอาหารวันละ 2 มื้อให้ผู้หญิงเหล่านี้ได้ไหม
“ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทาง สุลาภ มีความเชี่ยวชาญเลย แต่พวกเราก็ยังคงเดินทางไปที่เมืองวรินตาวัน เพื่อพบปะกับหญิงม่ายเหล่านี้ และสิ่งที่พวกเราพบเห็นนั้นทำให้หัวใจสลายจริงๆ”
ขณะที่ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 70 เศษ แต่มีอยู่บางคนอายุมากถึง 80 เศษ และ 90 เศษทีเดียว รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh ซึ่งเมืองวรินตาวันสังกัดอยู่) ได้เคยให้เงินสงเคราะห์พวกเธอเดือนละ 500 รูปี (ราว 250 บาท) หลังจากที่มีการรายงานเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเธอกันอย่างกว้างขวาง ทว่าหลังจากผ่านไป 3 ปีเงินสงเคราะห์ดังกล่าวนี้ก็ถูกตัด
“หลังจากนั้น พวกเธอที่อยู่ในวรินตาวัน ก็ต้องพยายามอยู่รอดให้ได้ด้วยเงิน 10 รูปีต่อวัน ซึ่งเป็นเงินที่พวกผู้รับผิดชอบของวัดฮินดูจ่ายให้ ถ้าหากพวกเธอเข้าร่วมการสวดมนตร์ในตอนเช้าและในตอนเย็น” วินิตา วารมา (Vinita Varma) หัวหน้าโครงการดูแลหญิงม่ายที่ สุลาภ บอกกับสำนักข่าวไอพีเอส
“คนที่อายุน้อยลงมายังสามารถหารายได้เพิ่มเติม ด้วยการทำหน้าที่คอยจุดตะเกียง และคอยเย็บปักทำเสื้อผ้าสำหรับเทวรูปต่างๆ แต่คนที่อายุมากๆ ซึ่งทำงานไม่ไหวแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากการขอทาน”
สุลาภ ได้รับอุปการะดูแลหญิงม่ายเป็นจำนวน 1,000 คนในเมืองวรินตาวัน และเมืองพาราณสี โดยจัดหาความช่วยเหลือสนับสนุนพวกเธอเป็นจำนวนรายละ 2,000 รูปีต่อเดือน ตลอดจนให้พวกเธอได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน และการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาถึงตอนนี้ สุลาภ ยังกำลังพยายามที่จะเชื่อมโยงพวกเธอเข้ากับชุมชนที่ได้ทอดทิ้งละเลยพวกเธอมาอย่างยาวนาน
เมื่อปีที่แล้ว ส่าหรีสีขาวของบรรดาหญิงม่ายในเมืองวรินตาวัน ได้เปลี่ยนไปเป็นสีชมพูและสีเขียวอันแสนมหัศจรรย์ เมื่อพวกเธอร่วมเล่น “โฮลิ” (Holi) เทศกาลสาดสีเข้าใส่กัน ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเธอเคยถูกห้ามไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้อง
มาถึงปีนี้ บรรดาหญิงม่ายของเมืองพาราณสีได้เฉลิมฉลองเทศกาลรักษะบันธัน และในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ พวกเธอบางคนจะได้กลับไปยังรัฐเบงกอลภายหลังที่ได้จากมาหลายสิบปี เพื่อชมพิธี “ทุรคา บูชา” (Durga Puja) ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีที่ใหญ่ที่สุดของชาวเบงกอล
ปะธัค ยังกำลังพยายามล็อบบี้เพื่อให้มีการออกกฎหมายที่จะเป็นหลักประกันว่า หญิงม่ายจะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมทางวิชาชีพ “ในทันทีที่พวกเธอกลายเป็นคนมีรายได้หาเงินเข้าครอบครัวได้ ครอบครัวของพวกเธอก็จะต้องยอมรับนับถือพวกเธออย่างแน่นอน”
(สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส)