เอพี - รถบัสนักท่องเที่ยวคันเดียวโดดๆ เลี้ยวโค้งไปตามทะเลทราย วิ่งผ่านพีระมิดคาเฟร ปล่อยให้บรรดาคนเลี้ยงอูฐ และคนขายโปสการ์ดต้องเดินคอตกท่ามกลางทรายที่ฟุ้งตลบ และเมื่อรถคันนี้วิ่งอ้อมกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย ก็เลือกแวะจอดบนที่ราบสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่นักเดินทางจะสามารถมองลงไปเห็นทั้งพีระมิดแห่งนี้ และพีระมิดใหญ่อีก 2 แห่งที่อยู่เคียงข้าง
เป็นความโชคดีที่เราเกือบจะเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่อยู่ใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเช้าปลายเดือนสิงหาคมที่อากาศร้อนเช่นนี้ ผมเดินทางมายังกรุงไคโรเพื่อช่วยทำข่าวความวุ่นวายที่ครอบงำอียิปต์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา และมีช่วงเช้าหนึ่งที่ปลอดจากการงานทำให้สามารถออกมายังย่านชานเมืองอันมีชื่อเสียงโด่งดังของไคโรได้ ที่นี่คือที่ตั้งของกลุ่มมหาพีระมิดแห่งกีซ่าอันเป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นแนวเขตทะเลทรายสีน้ำตาลอันกว้างใหญ่ แม้ว่าผมไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนแต่ก่อน ทว่าความว่างเปล่า และความเงียบงันขนาดนี้ก็ชวนให้รู้สึกประหลาดใจอยู่ดี ถึงจะเขยิบใกล้พีระมิดเข้าไปอีกหน่อย ก็ไม่เห็นว่ามีฝูงชนหนาตาขึ้นเท่าไร ตรงหน้ามีเพียงนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษครอบครัวหนึ่ง คู่ครองชาวอาหรับคู่หนึ่งที่แยกกันเดิน และกลุ่มหญิงโซมาเลียที่ผ้าคลุมศีรษะของเธอโบกสะบัดไปตามลม กำลังตั้งท่าถ่ายรูป ทุกคนมีท่าทีสบายๆ และไม่รีบร้อน
เมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนการปฏิวัติในปี 2011 ซึ่งเป็นจุดพลิกผันทางการเมืองของอียิปต์ การเยี่ยมชมมหาพีระมิดเหล่านี้อาจกลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ในการเคลื่อนผ่านคลื่นนักท่องเที่ยวที่ถาโถมเข้ามา บรรดาผู้เยี่ยมชม มัคคุเทศก์ และพ่อค้าแม่ค้าต่างเดินเบียดเสียดกันแน่นอยู่หน้าสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคโบราณ ขณะที่ขบวนรถบัสทยอยวิ่งเข้ามาจากตัวเมืองอย่างไม่ขาดสาย
ปัจจุบัน หลังจากเหตุรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อช่วงฤดูร้อน การประท้วง และการสังหารหมู่ กลุ่มนักท่องเที่ยวพากันหลั่งไหลไปดินแดนอื่นๆ ทิ้งให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ ซากโบราณสถานในเมืองลุกซอร์ที่อยู่ห่างลงไปตามแม่น้ำไนล์ และพีระมิดทั้งสามในชานกรุงไคโรนี้ต้องร้างไร้ผู้คน เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินต่างๆ ในอียิปต์ลดลงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่กองทัพอียิปต์ใช้กำลังเข้าสลายกลุ่มผู้ประท้วงการยึดอำนาจประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด มอร์ซี ในเดือนกรกฎาคม
เหตุนองเลือดครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างย่อยยับต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งทรงความสำคัญที่สุดสำหรับแดนไอยคุปต์ เพราะสร้างรายได้มากกว่าหนึ่งในสิบของของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด แต่นั่นกลับเป็นข้อดีอยู่บ้างสำหรับพวกนักเดินทางที่ไม่ฟังคำเตือนของทางการสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ที่ให้ระงับแผนการเดินทางมาอียิปต์
ราคาห้องพักและอาหารลดฮวบ บางครั้งลดลงไปครึ่งหนึ่งก็มี เช่นเดียวกับเงินปอนด์ของอียิปต์ ทำให้ประเทศที่มีค่าครองชีพไม่แพงอยู่แล้วแห่งนี้ยิ่งถูกลงไปอีก ทันทีที่มาถึงจุดท่องเที่ยว เหล่านักทัศนาจรมักพบว่าพวกเขาแทบจะอยู่ตามลำพังกับหนึ่งในสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของโลก ซึ่งอาจจะเป็น รูปหล่อใบหน้าฟาโรห์ที่ทำด้วยทองคำ หรือมัสยิดอายุนับร้อยๆ ปีตั้งตระหง่านเหนือย่านไคโรเก่า สถานที่ท่องเที่ยวถูกทิ้งไว้ให้วังเวง แต่ก็มีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสมกับคุณค่าของสมบัติเหล่านี้ที่อยู่ยืนยงมานานนับร้อยนับพันปี
แมรี ฮิลล์ นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียกล่าวว่า เธอได้เดินทางไปทั่วยุโรปกับเพื่อนคนหนึ่งในช่วงฤดูร้อน และไม่ได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับอียิปต์เลย อย่างไรก็ตามพวกเขาได้จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว ยังคงตัดสินใจที่จะเดินทางมายังแดนไอยคุปต์ต่อไป ภายหลังที่พวกเขารับทราบเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นแล้ว
“เรามาถึงจุดหนึ่งในการเดินทาง ที่เราต้องฉกฉวยโอกาสเอาไว้” ฮิลล์กล่าวขณะที่เธอเดินออกมาจากพื้นที่จัดแสดงฟาโรห์เด็ก “ตุตันคาเมน” ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ “และในท้ายที่สุด เราก็พบว่ามันก็เป็นการตัดสินใจที่ดี”
“ถ้ามองในแง่ของปัญหาภายในประเทศแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ดีเอาเลย”
ภาวะฝืดเคืองของเศรษฐกิจได้ผลักดันให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันสวมวิญญาณนักล่า และทำให้เหล่ามัคคุเทศก์เกิดคลั่งขึ้นมา โดยที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอียิปต์ถึงกับประกาศเตือนเมื่อเดือนมิถุนายนเกี่ยวกับเรื่อง “พ่อค้าแม่ค้าที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเกินไป” นักท่องเที่ยวเผชิญหน้ากับ “กลุ่มคนเกรี้ยวกราดที่รุมล้อมและทุบตีรถยนต์” สถานทูตแห่งนี้รายงานโดยระบุว่า “และบางกรณียังพยายามที่จะเปิดประตูรถยนต์” อีกด้วย
ในตรอกที่คดเคี้ยวของตลาดข่านเอลคาลีลีในย่านไคโรเก่า บรรดาพ่อค้าแม่ขายพยายามออกแรงยื้อยุดนักท่องเที่ยวจำนวนน้อยมาก ที่พวกเขาพบเห็นในขณะที่พวกเขายัดเยียดให้ซื้อพีระมิดหินปูนจำลองอันเล็กๆ และผ้าฝ้ายสีสันสดใส
โมฮาเหม็ด ฮาเฟซ เจ้าของร้านค้ากล่าวว่ายอดขายของเขาตกลงไปถึง “100 เปอร์เซ็นต์” นับตั้งแต่ที่ชาวอียิปต์ออกมารวมตัวกันตามท้องถนนเมื่อ 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา
การพยายามให้นักท่องเที่ยวกลับมาอียิปต์เหมือนเดิมกลายเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด กระทั่งในเวลาเช่นนี้ ที่มีทั้งรถทหาร และจุดตรวจตามถนนสายต่างๆ เดนิส มุสตาฟา นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองดัลลัสของสหรัฐฯ ได้เดินทางมาที่ไคโร ตามโครงการอาสาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนคนหนุ่มสาวทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม และจับจ่ายใช้สอยในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอียิปต์
อย่างไรก็ตาม สองสัปดาห์หลังจากที่เขาเดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม มอร์ซีถูกปลดลงจากตำแหน่ง และโครงการอาสานี้ก็ถูกยกเลิก มุสตาฟาแก้ลำด้วยการออกเดินทางและเยี่ยมชมอียิปต์ โดยบินลงเมืองลุกซอร์ และขึ้นไปดาฮับ เมืองตากอากาศริมทะเลแดงอันเลื่องชื่อ ที่ซึ่งร้านอาหารพากันลดราคาอาหารทุกเมนู 50 เปอร์เซ็นต์
หลังจากนั้นมุสตาฟาและเพื่อนอาสาสมัครอีกคนหนึ่งที่มาจากจีนก็เดินหน้าต่อด้วยการไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ สถานที่ซึ่งพวกเขาศึกษาเกี่ยวกับรูปปั้นหินแกรนิตโบราณของขุนนางอียิปต์ และเรือไม้ลำเล็กๆ ที่ถูกฝังพร้อมกับศพของฟาโรห์ตามประเพณี
“ตอนนี้เวลาไหนก็ตามที่คุณเข้าไปในวิหารหรือปีนเขาไซนาย คุณจะมีประสบการณ์อย่างเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น” มุสตาฟาบอก “เพราะมีคุณกับไกด์ทัวร์เท่านั้นที่อยู่ตรงนั้น”
แน่นอนว่าความสงบสุขเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เปราะบาง กรุงไคโรยังแทบจะเป็นเมืองร้างในทุกๆ วันศุกร์ ด้วยความวิตกกันว่าความรุนแรงอาจปะทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ ในการประท้วงของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ทั้งนี้เมื่อปลายเดือนสิงหาคมนั้น รัฐบาลอียิปต์ยังประกาศเคอร์ฟิวตอนกลางคืนอยู่ ทำให้ไคโรในยามราตรีที่เคยครึกครื้นกลายเป็นเมืองที่เงียบเหงาวังเวง
ทุกคนต่างเคร่งเครียดหงุดหงิดขณะเฝ้ารอการตอบโต้จากกลุ่มภราดรภาพที่ต้องการล้างแค้น และคาดว่าอาจมีสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น คืนหนึ่งขณะที่อยู่ที่บาร์ในโรงแรมที่ผมพักอยู่ มีเสียงเหมือนระเบิดดังขึ้นที่ด้านนอกจนทำให้บทสนทนาของทุกคนที่อยู่ที่นั่นหยุดชะงักลงในทันที เนื่องจากต่างผวากลัวว่าจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีกระลอกหรือไม่ แต่แล้วจากการตรวจสอบที่ท้องถนนในเวลาอันรวดเร็วก็พบว่าเป็นแค่เสียงพลุเท่านั้น
สำหรับเหล่านักท่องเที่ยว นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่งที่จะได้แย้มยลประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจซึ่งพยายามคิดถึงอนาคตข้างหน้า และก็เป็นโอกาสที่จะเห็นอียิปต์ในขณะปลอดจากการสิ่งรบกวนอย่างเคยๆ จำนวนมาก ถึงแม้มีอันตรายอยู่จริงๆ แต่ว่ายังเป็นสิ่งที่รับมือได้
อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ กำลังคุกคามจะเข้าโจมตีซีเรียก็ทำให้ชาวอเมริกันบางส่วนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะเปิดเผยสัญชาติของตัวเอง และหากปัญหาการเมืองปะทุขึ้นในอียิปต์อีกครั้งหนึ่ง กระทั่งนักเดินทางที่กล้าหาญที่สุดก็อาจจะต้องคิดทบทวนแผนการท่องเที่ยวแดนไอยคุปต์ของตนอีกคำรบหนึ่ง