เอเจนซีส์ - หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของเยอรมัน “Der Spiegel” เผยในวันจันทร์(9) ที่ผ่านมาถึงรายละเอียดวิธีการที่หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ NSAใช้ในการแฮ็คโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจากค่ายชั้นนำทั่วโลก และสิ่งที่ NSA พบในข้อมูลผู้ใช้สมาร์ทโฟน ที่NSAรวบรวมไว้ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจที่มีชื่อ “ประเทศไทยปรากฏอยู่ในรายงานเอกสารลับของNSA” ที่ Der Spiegel ถืออยู่ในมือด้วย
หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ NSAใช้ความได้เปรียบของกระแสที่โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนกำลังบูม โดยทางหน่วยงานได้พัฒนาความสามารถในการเข้าแฮ็คไอโฟน โทรศัพท์ค่ายแอนดรอยด์ หรือแม้กระทั่งแบล็คเบอร์รี ซึ่งแต่เดิมนั้นเข้าใจว่าการรักษาความปลอดภัยของค่ายนี้เป็นสุดยอดในวงการ
ไมเคิล เฮย์เดน มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับโทรศัพท์ไอโฟนของสตีฟ จ๊อบส์ ในการประชุมในวอชิงตัน โดยตัวเขาที่เป็นถึงอดีตผู้อำนวยการหน่วยNSAและภรรยาเดินเข้าร้านแอปเปิลสโตร์ในรัฐเวอร์จิเนียเมื่อไม่นานมานี้ พนักงานขายปราดเข้ามาพร้อมกับโชว์โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นใหม่พร้อมกับกล่าวว่า “ไอโฟนนั้นมีถึง 400,000 แอพให้เลือกใช้” เฮย์เดนรู้สึกขบขันจึงหันไปทางภรรยาและบอกอย่างรวดเร็วว่า “ไอ้หนูคนนี้ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ใช่ไม๊? สี่แสนแอพหมายความว่า...มีความเป็นไปได้ที่จะถูกเจาะเข้าระบบถึง “400,000” ครั้งด้วยกัน”
ในเยอรมัน พบว่าจำนวนกว่า 50% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเยอรมันยุคปัจจุบันมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนไว้ครอบครอง ในอังกฤษ สัดส่วนการใช้มือถือสมารทโฟนเป็น 2 ใน 3 ของผู้ใช้มือถือทั้งหมด และในสหรัฐฯ มีประมาณ 130 ล้านคนในอมริกาใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าโทรศัพท์ประเภทนี้มีลักษณะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่เป็นทั้งศูนย์กลางของการติดต่อ เลขายุคดิจิตอล และรวมไปถึงเป็นผู้ให้คำแนะนำส่วนตัวในโลกศตรวรรษที่ 21 ไปซะแล้ว และเป็นที่น่าแปลกใจว่าสมาร์ทโฟนมักจะรู้เรื่องเจ้าของเครื่องมากกว่าที่เจ้าของที่เป็นมนุษย์คาดไว้
ช่องทางใหม่
สมาร์ทโฟนเป็นประดิษฐกรรมที่ล้ำยุคที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดช่องทางให้บุคคลภายนอก เช่น หน่วยงาน NSA สามารถล่วงรู้ความลับส่วนตัวได้
ความสามารถของ NSAในการแฮ็คเข้าระบบสมาร์ทโฟนนั้นรวดเร็วเท่าๆกับที่สมาร์ทโฟนสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของผู้ใช้ได้ ซึ่งอ้างจากเอกสารลับของสื่อเยอรมันนั้นพบว่าหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯได้จัดตั้งทีมงานขึ้นมาเพื่อเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของโทรศัพท์มือถือชั้นนำ โดยทีมงานถูกสั่งทำการศึกษาไอโฟนของค่ายแอปเปิล ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล และมีทีมที่แยกต่างหากเพื่อทำการศึกษาแบล็คเบอร์รีโดยเฉพาะ
มันเป็นเรื่องที่น่าฉงนมากที่ NSAนั้นพุ่งเป้าไปที่บริษัทของอเมริกาเป็นหลัก เช่น แอปเปิล หรือ กูเกิล ส่วนแบล็คเบอร์รีนั้นที่มีฐานอยู่ในแคนาดาไม่ถือว่าแปลกอะไร เพราะแคนาดาถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายพันธมิตรของหน่วยงานความมั่นคงภายใต้พันธะ “Five Eyes Alliance” หรือ FEVE ที่มีข้อตกลงว่าประเทศสมาชิกจะไม่เจาะระบบรักษาความปลอดภัยซึ่งกันและกัน และมีชาติสมาชิกประกอบไปด้วย แคนาดา สหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
การใช้ประโยชน์จาก “โนโมโฟเบีย”
จากเอกสารของหน่วยงานNSAที่ทาง Der Spiegel ที่สามารถดูได้นั้น ระบุว่าไม่มีการการอ้างถึงว่าบริษัทโทรศัพท์สมาร์ทโฟนนั้นได้ให้ความร่วมมือโดยความสมัครใจกับรัฐบาลสหรัฐฯในการอนุญาตต่อตรงเข้ากับระบบความปลอดภัย
ในการที่ทางเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯสามารถล้วงความลับข้อมูลผู้ใช้จากโทรศัพท์สมารทโฟนได้นั้น เป็นเพราะได้ประโยชน์จากนโยบายของทางผู้ออกแบบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือระบบปฎิบัติการ ที่ไม่ต้องการการให้ผู้บริโภคเกิดความกลัวการใช้โทรศัพท์ หรือที่เรียกว่า “โนโมโฟเบีย” (Nomophobia) และสิ่งเดียวที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะกลัวคือการทำมือถือหายเท่านั้น ซึ่งจากรายละเอียดของข้อมูลจากเอกสารภายใต้หัวข้อ “เป้าหมายของคุณใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือไม่? ” แสดงถึงวิธีการล้วงความลับของNSAต่อผู้ใช้งานโทรศัพท์ไอโฟนที่มียอดผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากในทั่วทุกมุมโลกอยู่ในขณะนี้
ในเอกสารชิ้นเดียวกัน ผู้เขียนได้แสดงการเปรียบเทียบกับวรรณกรรมคลาสสิกในโลกตะวันตกที่ทุกคนรู้จักดีของจอร์จ ออร์เวลล์ที่กล่าวถึงรัฐที่อยู่ภายใต้ระบบ “บิ๊ก บราเธอร์” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า หน่วยงานสหรัฐฯกำลังทำแบบเดียวกันกับผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและโทรศัพท์ของพวกเขาอยู่ในขณะนี้ และความจริงแล้ว ทางหน่วยสามารถเลือกได้ในวงกว้างจากข้อมูลของผู้ใช้งานจากโทรศัพท์สมารท์โฟนของแอปเปิล
โดยผลงานการล้วงความลับจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของNSAนั้นอยู่ในขั้นที่ต้องอึ้ง และต้องอึ้งมากขึ้นเมื่อพบว่ามีการอ้างถึงประเทศไทยในเอกสารของหน่วยงานด้วย ตัวอย่างของผลงานการเจาะระบบของNSAที่อยู่ในมือ Der Spiegel นั้น เช่น ภาพถ่ายของลูกชายอดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่กำลังโอบหญิงสาว ที่เป็นรูปถูกเก็บไว้ไว้ในมือถือไอโฟนส่วนตัวของตัวเป้าหมายนั้น รูปภาพชุดของคนหนุ่มสาวในโซนอันตรายต่างๆ รวมถึงชายนักรบพร้อมเพื่อนในเทือกเขาที่อัฟกานิสถาน และที่เด็ดสุด....มีภาพชาวอัฟกันพร้อมเพื่อนและผู้ต้องสงสัยอยู่ในประเทศไทย
ไม่มีความจำเป็นต้องเจาะ
จากตัวอย่างรูปภาพที่กล่าวถึงในเอกสารนั้นถูกถ่ายด้วยโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั้งสิ้น โดยเฉพาะรูปภาพที่ถ่ายในปี 2012นั้นมีความล่อแหลมเป็นพิเศษ ซึ่งรูปถ่ายของอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลต่างประเทศรัฐบาลหนึ่ง(ไม่ใช่รัฐบาลสหรัฐฯ) จากเอกสารของทางNSA พบว่า บุคคลสำคัญระดับสูงผู้นี้นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี และได้ถ่ายรูปของตัวเขาเองไว้ด้วยโทรศัพท์ไอโฟนของเขาเอง ซึ่งทางหนังสือพิมพ์เยอรมันไม่เปิดเผยวชื่อ ตำแหน่งหรือข้อมูลอื่นๆของบุคคลระดับสูงนี้
นอกจากนี้ ยังพบว่าแผนกของหน่วยงานNSAนั้นมีความรับผิดชอบการล้วงความลับเป้าหมายที่น่าสนใจเป็นพิเศษอีกด้วย โดยหนึ่งในเครื่องมือของNSAที่ใช้คือ การใช้แบ็คอัพไฟล์ที่มีอยู่ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งอ้างจากข้อมูลของNSAจะพบว่า ไฟล์เหล่านี้มีข้อลูลที่เป็นประโยชน์กับหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯในการวิเคราะห์ อาทิเช่น รายชื่อคนรู้จักในสมุดโทรศัพท์ ข้อมูลการโทร และดร๊าฟของข้อความเอสเอ็มเอส โดยในการเรียบเรียงข้อมูลประเภทนี้ ทางเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ไม่จำป็นต้องต่อตรงกับโทรศัพท์ไอโฟนด้วยตัวเอง ทางเอกสารลับได้ระบุว่า “ทางเจ้าหน้าที่สหรัฐฯเพียงแค่เจาะเข้าระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ของเป้าหมายที่ใช้ซิ้งค์กับโทนศัพท์สมาร์ทโฟนล่วงหน้า”
เอกสารลับของNSAยังอ้างต่อไปว่า ทางหน่วยงานมีโปรแกรมขนาดเล็กที่เรียกว่า “สคริปต์” ที่มีความสามารถในการสอดส่องการใช้งานของมือถือไอโฟน 3และไอโฟน 4ได้ถึง 38 ลักษณะการใช้งานด้วยกัน ที่รวมถึงระบบแผนที่ ว้อยส์เมลและรูปภาพ กูเกิลเอิร์ธ เฟสบุ๊ก และยาฮู้เมสเซนเจอร์
นักวิเคราะห์ข้อมูลของ NSA นั้นมีความสนใจเป็นพิเศษในข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาตร์ที่เก็บไว้ในสมาร์ทโฟน และข้อมูลในแอพที่จะช่วยให้ข้อมูลว่าเจ้าของเครื่องนั้นอยู่ที่ไหนในเวลาที่ทางหน่วยงานต้องการรู้
ล้มแบล็คเบอร์รี
ทั้งNSAและหน่วยงานความมั่นคงของอังกฤษ GCHQ ได้พุ่งความสนใจไปที่สมาร์ทโฟนของแบล็คเบอร์รีเป็นพิเศษ เพราะฉายาที่เป็นเจ้าระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดจากคำโฆษณาของบริษัท โดยเอกสารของNSAนั้นชี้ว่า ทางหน่วยงานสหรัฐฯได้ใช้เวลาหลายปีในการเจาะระบบแบล็คเบอร์รี โดยมีทีมพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อทำภาะกิจนี้ โดยในปี 2009ทางหน่วยงานสหรัฐฯประสบปัญหาวิธีการที่แบล็คเบอร์รีเปลี่ยนวิธีการใช้การบีบอัดข้อมูล” แต่ในที่สุดทาง NSAประสบความสำเร็จในปี 2010 ในการเจาะได้สำเร็จจนกระทั่งที่ใช้คำว่า “แชมเปญจ์” ในการแสดงถึงชัยชนะครั้งใหญ่ในเอกสารภายในองค์กร
ความกังวลด้านความปลอดภัย
จากหน่วยงานสหรัฐฯสรุปว่า โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่คนทั่วไปใช้นั้น พบว่ามีเพียงทางNSAเท่านั้นที่สามารถเจาะเข้าระบบแบล็คเบอร์รีได้เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดยังไม่รอดพ้นน้ำมือของNSA อ้างจากเอกสารของหน่วยภายใต้หัวข้อ “ เป้าหมายของคุณใช้โทรศัพท์แบล็คเบอร์รีหรือไม่? และจะเอายังไงต่อไป? ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการในการถอดรหัสข้อมูลที่ผ่านเข้าออกเซิร์ฟเวอร์ของแบล็คเบอร์รี BES นั้นต้องการ “ปฎิบัติการที่แน่นอน” จากแผนกเจาะข้อมูลเป้าหมายแบบเจาะจงในการ “รีดข้อมูลทั้งหมดจากเป้าหมาย” ซึ่งยืนยันด้วย “อีเมลจากหน่วยงานของรัฐบาลเม็กซิโก” เป็นตัวอย่างแสดงของความสำเร็จภายใต้หัวข้อนี้ในเอกสารของNSA