รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - แท็บลอยด์ชื่อดังของเยอรมนีฉบับประจำวันอาทิตย์ “บิลด์ อัม ซอนน์ทาก” รายงานโดยอ้างข้อมูลของหน่วยข่าวกรองเมืองเบียร์ว่า กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลซีเรียอาจใช้อาวุธเคมี โดยที่ “ไม่ได้รับอนุญาต” จากประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
รายงานของบิลด์ อัม ซอนน์ทาก ในวันอาทิตย์ (8) ระบุว่า เรือลาดตระเวนโอเกอร์ของกองทัพเรือเยอรมนี ได้รับข้อมูลจากการดักฟังข้อความทางวิทยุขณะลอยลำอยู่ใกล้ชายฝั่งของซีเรีย ซึ่งข้อความดังกล่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงกองทัพซีเรียได้ร้องขอต่อทำเนียบประธานาธิบดีซีเรีย เพื่อขอให้เปิดไฟเขียวต่อการใช้อาวุธเคมีมาตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนครึ่งที่ผ่านมา แต่ทว่าคำขอดังกล่าวถูกปฏิเสธทุกครั้ง ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า การใช้อาวุธเคมีที่เกิดขึ้นที่ย่านชานกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 รายนั้น อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
ก่อนหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน แกร์ฮาร์ด ชินด์เลอร์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองต่างประเทศของเยอรมนี (BND) ได้นำเสนอรายงานลับต่อคณะกรรมาธิการกลาโหมและกิจการต่างประเทศของรัฐสภาเมืองเบียร์ ซึ่งสรุปว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียอาจยืดเยื้อต่อไปอีกนานหลายปี หากไม่มีการแทรกแซงทางทหารใดๆ จากภายนอกประเทศ
รายงานข่าวล่าสุดที่ถูกตีแผ่โดยสื่อดังของเมืองเบียร์ มีขึ้นในขณะที่รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมที่ว่า จะไม่การขอเข้าร่วมในภารกิจแทรกแซงทางทหารใดๆ ต่อซีเรีย แต่ก็เห็นพ้องกับชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ในประเด็นที่ว่า การใช้อาวุธเคมีเป็นอาชญากรรมที่มิอาจยอมรับได้ และผู้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธดังกล่าวไม่สมควรลอยนวลโดยที่ไม่ได้รับบทเรียนใดๆ
ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส และรายการ “ชาร์ลี โรส โชว์” ทางสถานีโทรทัศน์พีบีเอสของสหรัฐฯ เตรียมเผยแพร่บทสัมภาษณ์เต็มรูปแบบของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ในวันจันทร์ (9) นี้
โดยเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ทางซีบีเอสนำมารายงานผ่านทางรายการข่าว “เฟซ เดอะ เนชั่น” ของตนในวันอาทิตย์ (8) ระบุว่า ผู้นำซีเรียยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีต่อชาวซีเรีย แต่อัสซาดก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธว่ารัฐบาลซีเรียมีอาวุธเคมีในความครอบครอง
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีซีเรียยังได้เตือนชาวอเมริกันว่าไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย