xs
xsm
sm
md
lg

“อังกฤษ” ชี้หลักฐานที่อัสซาดใช้ “อาวุธเคมี” อาจถูกทำลายไปหมดแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ (แฟ้มภาพ)
เอเอฟพี - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษชี้ หลักฐานการใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนในซีเรียอาจถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว

วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ อ้างถึงกรณีข่าวลือว่ากองทัพซีเรียใช้อาวุธเคมีปราบปรามพลเรือนทางตะวันออกของกรุงดามัสกัสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่า “ความเป็นจริงก็คือ หลักฐานการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนในครั้งนั้น อาจถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว”

“หลักฐานที่พอจะเหลือก็คงเสื่อมสภาพไปในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และส่วนอื่นๆก็อาจจะถูกกลบเกลื่อนแล้วก็เป็นได้” เฮก แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(25) ไม่นานหลังจากที่รัฐบาลซีเรียเปิดไฟเขียวให้คณะผู้ตรวจสอบจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าไปสืบหาความจริงเรื่องอาวุธเคมี

ในวันนี้(26) คณะผู้เชี่ยวชาญยูเอ็นจะลงพื้นที่ซึ่งอ้างว่ามีชาวซีเรียเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากสารพิษทำลายระบบประสาท ขณะที่วอชิงตันชี้ว่าซีเรียอนุญาตให้เจ้าหน้าที่นานาชาติตรวจสอบช้าเกินไป

เฮก แสดงความกังวลว่า ผู้ตรวจสอบยูเอ็นถูกถ่วงเวลาไว้นานเกินไปจนอาจไม่ได้หลักฐานที่ชัดเจน และย้ำว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น

“รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่า ระบอบอัสซาดเป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนอย่างกว้างขวาง” เขากล่าว โดยอ้างข้อมูลจาก “ผู้เห็นเหตุการณ์ และความเป็นจริงที่ว่าพื้นที่ดังกล่าวกำลังถูกฝ่ายรัฐบาลโจมตี ขณะที่มีการพบศพคนตายด้วยอาวุธเคมี”

“หากรัฐบาลอัสซาดเชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มอื่น ก็น่าจะปล่อยให้ยูเอ็นเข้าไปตรวจสอบตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว”

เฮกระบุว่า อังกฤษพร้อมร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อตอบสนองโศกนาฏกรรมในซีเรีย โดยเมื่อวันเสาร์ (24) นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ก็ได้พูดคุยกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ และ “ผู้นำทั้งสองเห็นตรงกันว่า นานาชาติสมควรจะมีมาตรการตอบสนองที่รุนแรง”

เฮกไม่ได้ชี้แนะว่าแนวทางตอบสนองที่ว่าคืออะไร “ด้วยเหตุผลที่ก็ทราบกันอยู่แล้ว” แต่ยืนยันว่า การตอบโต้ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทุกชาติคือสิ่งจำเป็น

เหตุประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งปะทุขึ้นในซีเรียเมื่อกลางเดือนมีนาคม ปี 2011 นำมาสู่สงครามกลางเมืองที่คร่าชีวิตพลเมืองไปแล้วกว่า 100,000 คน ตามข้อมูลยูเอ็น
กำลังโหลดความคิดเห็น