เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- เอกสารลับของทางการสหรัฐฯที่รั่วไหล ชี้ วิศวกรที่ทำงานให้กับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์พยายามค้นคว้าหาวิธีป้องกันภัยคุกคามจากการโจมตีของ “โดรน” หรือ อากาศยานรบไร้นักบินของสหรัฐฯ ซึ่งหากทำสำเร็จ อาวุธสุดล้ำชนิดนี้ของสหรัฐฯที่มีมูลค่าลำละนับพันล้านก็อาจกลายเป็นเพียง “เศษเหล็ก” เท่านั้น
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ “วอชิงตัน โพสต์” ระบุว่า มีเอกสารลับหลายชุดของทางการสหรัฐฯ ที่รั่วไหลออกมาจากการเปิดโปงของ “เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน “ ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งในเอกสารลับเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่าเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ได้ใช้ความพยายามตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมาในการหาทางกำจัดภัยคุกคามจาก “โดรน” ซึ่งทางสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)ใช้โจมตีเป้าหมายในปากีสถานและพื้นที่ตามแนวพรมแดนอัฟกานิสถาน
วอชิงตัน โพสต์ระบุว่า รายงานลับชุดหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “Threats to Unmanned Aerial Vehicles” ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา พวกอัลกออิดะห์ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังเพื่อหาทางสกัดภัยคุกคามจากโดรน
และถึงแม้ว่าพวกอัลกออิดะห์จะยังไม่สามารถยิงหรือทำลายโดรนของซีไอเอได้แม้แต่ลำเดียว แต่องค์ความรู้ของกลุ่มอัลกออิดะห์ในการหาทางรับมือกับอาวุธสุดล้ำชนิดนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯจะประมาทมิได้
นอกจากนั้น “คู่มือทางยุทธศาสตร์” ที่ทางกลุ่มอัลกออิดะห์จัดทำขึ้นเพื่ออบรมสมาชิก และถูกหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐฯตรวจพบในปี 2010 ยังระบุว่า กลุ่มอัลกออิดะห์มีความคิดที่จะใช้ “บอลลูน” หรือ “เครื่องบินจำลอง”เป็นเครื่องมือสำหรับเฝ้าระวังการโจมตีจากโดรน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้บรรดาสมาชิกที่ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากสหรัฐฯ มีโอกาสมากขึ้นที่จะหลบหนี
ขณะเดียวกัน เอกสารลับที่สโนว์เดนนำมาเปิดโปงยังระบุว่า ในเวลานี้วิศวกรที่ทำงานให้กับกลุ่มอัลกออิดะห์ในปากีสถานกำลังพัฒนาระบบเตือนภัยด้วย “แสงเลเซอร์” รวมทั้งกำลังพัฒนาวิธีส่งสัญญานรบกวนโดรน ยิงโดรน หรือแม้แต่วิธีการ “แฮ็คระบบ” เพื่อทำให้โดรนไม่ทำงาน
ซึ่งหากทีมวิศวกรของอัลกออิดะห์ทำสำเร็จ ย่อมหมายความว่า อาวุธสุดล้ำมูลค่านับพันล้านของสหรัฐฯ อาจกลายเป็นเพียง “เศษเหล็กบินได้” เท่านั้น
ทั้งนี้ สโนว์เดน ซึ่งเคยเป็นพนักงานสัญญาจ้างของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ) และกำลังเป็นที่ต้องการตัวของทางการสหรัฐฯนั้น ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลรัสเซีย ให้สามารถลี้ภัยชั่วคราวในแดนหมีขาวได้นานอย่างน้อย 1 ปี
ขณะที่การโจมตีด้วยโดรนของสหรัฐฯ ทั้งในปากีสถาน เยเมน โซมาเลีย และอีกหลายประเทศส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ถูกระบุว่า เป็น “พลเรือน” ขณะที่ทางการสหรัฐฯยืนยันว่า สามารถใช้โดรนปลิดชีพสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆได้เป็นจำนวนมาก