เอเจนซี - จากการศึกษาวิจัยพบว่า ราว 1,400 เมืองของสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเมืองบาดาลในที่สุด ถ้าภาวะมลพิษยังคงแพร่ขยายต่อไปในอัตราเดิมเฉกเช่นปัจจุบัน
การวิจัยใหม่ดังกล่าวชี้ว่า 1,400 เมืองในเมืองลุงแซม จะจมอยู่ใต้น้ำ ถ้าไม่มีการควบคุมมลพิษในอากาศ
โดยข้อมูลจากการศึกษาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วงที่ผ่านมายืนยันว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอีก 4 ฟุต (ราว 1.2 เมตร) ในอนาคต ก็ถือเป็นระดับที่เพียงพอจะเข้าท่วมบางส่วนของ 316 เขตปกครองทั่วอเมริกา และถ้าสภาวะโลกร้อนยังดำเนินอยู่ต่อไปในอัตราเดียวกับปัจจุบันจนถึงปี 2100 ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเมืองที่ต้องอยู่ใต้น้ำเมื่อมีกระแสน้ำขึ้นอีกถึง 1,100 เมือง
"มันเป็นเหมือนภัยคุกคามที่มองไม่เห็น" เบนจามิน สเตราส์ นักวิทยาศาสตร์จากกลุ่มวิจัย"ไคลเมต เซ็นทรัล" ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยไม่แสวงหาผลกำไรที่มีฐานวิจัยอยู่ในพรินซ์ตัน มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าว
สเตราส์กล่าวเสริมว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโลกในอนาคตและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หลายคนเชื่อว่าปัญหาการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจะไม่เกิดขึ้น ถ้าการปล่อยก๊าซดังกล่าวหยุดลงนั้น ถือเป็นความเข้าใจที่ "ผิดถนัด" พร้อมระบุว่า ฟลอริดา เป็นรัฐที่สุ่มเสี่ยงที่สุดต่อการจมอยู่ใต้น้ำ รองลงมาคือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่าภัยพิบัติที่กล่าวมาข้างต้น ยังสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหรือทำให้มีผลกระทบลดน้อยลงได้ ด้วยการตัดตอนต้นเหตุของภาวะมลพิษ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศได้
แต่ถ้าทุกสิ่งยังดำเนินต่อไปดังที่เคยเป็นมา สเตราส์คาดการณ์ว่า เมืองกัลเวสตัน มลรัฐเทกซัส จะเป็นเมืองแรกที่จมอยู่ในใต้น้ำในปี 2030 ตามมาด้วย เมืองไมอามี ในฟลอริดา ในปี 2040 ส่วนเมืองนอร์ฟอล์ค มลรัฐเวอร์จิเนีย และ เมืองคอรัล เกเบิลส์ในฟลอริดา จะจมอยู่ใต้น้ำในปี 2044 และเมืองเวอร์จิเนีย บีช ในมลรัฐเวอร์จิเนีย ในปี 2054