เมื่อพูดถึงนครบันดุง ของอินโดนีเซีย หลายคนคงนึกถึงภาพของการเป็นเมืองที่ค่อนข้างแออัดจากการที่มีประชากรมากกว่า 2.4 ล้านคนใช้ชีวิตกระจุกกันอยู่ในเมืองแห่งนี้ซึ่งมีพื้นที่เพียง 167.67 ตารางกิโลเมตร และติดอันดับเมืองใหญ่ลำดับที่ 3 ของแดนอิเหนา ประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ นครบันดุง เมืองเอกของจังหวัดชวาตะวันตกที่อยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 140 กิโลเมตรแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับฉายาว่าเป็น “ปารีสแห่งเกาะชวา” กำลังถูกมองด้วย “ภาพลักษณ์ใหม่” ในฐานะเมืองศูนย์กลางของการสัมผัสประสบการณ์สยองและเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ จนกิจกรรมพาทัวร์ “สถานที่หลอน” ทั่วบันดุงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุที่เมืองบันดุง มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 525ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งเมืองแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1488 จึงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่นครแห่งนี้จะเต็มไปด้วยตึกรามอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่า รวมถึงตำนานสยองขวัญต่างๆ มากมาย
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวเกี่ยวกับภูติผีวิญญาณดูจะถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูมากขึ้นในเมืองบันดุงแห่งนี้ จนกระทั่งบรรดาผู้ที่ต้องการท้าทายเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติกลุ่มหนึ่งจัดตั้งกลุ่ม เพื่อรวมตัวกันเดินทางไปพิสูจน์สถานที่สุดเฮี้ยนต่างๆในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยใช้ชื่อกลุ่มของพวกเขาว่า “วิสาตา มิสติส” หรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Mystical Tour”
ดาดี เซเตียดี ซูอาร์ซา เลขานุการของกลุ่มวิสาตา มิสติสเผยว่าทางกลุ่มได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2011โดยมีสมาชิกแรกเริ่มเพียงไม่กี่ราย ที่เริ่มจากการเข้าไปตั้งกระทู้ถาม-ตอบเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับและสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวต่างๆ บนฟอรัมออนไลน์ชื่อดังอย่าง “Kaskus”
ภายในระยะเวลาไม่นานจำนวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกลุ่มได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการเพิ่มจำนวนของรายชื่อสถานที่ ที่ว่ากันว่า มีวิญญาณสิงสถิตย์ทั่วเมืองบันดุงที่เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 20 แห่งในเวลานี้
หนึ่งในสถานที่สุดเฮี้ยนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเมืองบันดุง คือ สวนป่าอนุรักษ์จูอันดาที่เคยถูกทหารญี่ปุ่นใช้เป็นสถานที่ทรมานนักโทษและเชลยศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งว่ากันว่า เคยมีผู้พบเห็นวิญญาณของผู้เสียชีวิตจำนวนมากยังคงวนเวียนหลอกหลอนผู้มาเยือนอยู่ในสวนแห่งนี้จนถึงทุกวันนี้ แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดมานานเกือบ 70 ปีแล้วก็ตาม
สถานที่ชวนหลอนอีกแห่งของบันดุงที่ติดอันดับจุดยอดนิยมสำหรับนักท้าผีทั้งหลาย คือ โรงเรียนมัธยมของรัฐหมายเลข 5(SMAN 5)ซึ่งมีผู้อ้างว่าพบเห็นวิญญาณเด็กนักเรียนสาวที่ปลิดชีพตัวเองในอาคารเรียน รวมถึงถนนสายหนึ่งในเขตจาลัน บาบากัน ซิลิวังกีที่มีผู้อ้างว่าพบเห็นวิญญาณเด็กชายคนหนึ่ง ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุยังคงวนเวียนหลอกหลอนผู้ใช้รถใช้ถนนบริเวณดังกล่าวอยู่เป็นประจำ
ดาดี เลขาฯของกลุ่มวิสาตา มิสติสเผยว่า สมาชิกในกลุ่มของเธอแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆคือ พวกคนที่ไม่กลัวผีและต้องการพิสูน์ว่าผีมีจริงหรือไม่ กับอีกพวกหนึ่งที่กลัวผีจนขึ้นสมองแต่ก็ต้องการได้สัมผัสประสบการณ์สยองด้วยตัวเอง โดยในช่วงแรกเริ่มก่อตั้งกลุ่มนั้นมีสมาชิกที่ร่วมลงพื้นที่พิสูจน์ผีตามสถานที่ต่างๆเพียงแค่ 5 รายเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน การเดินทางไปเยือนสถานที่ลึกลับต่างๆมักจะมีสมาชิกร่วมก๊วนไปด้วยไม่ต่ำกว่าครั้งละ 30-50 คน อย่างไรก็ดี ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการออกทัวร์สยองแต่ละครั้ง ว่า สมาชิกต้องควักกระเป๋าเป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด
ดาดียืนยันว่า ในความเป็นจริงแล้วกิจกรรมของกลุ่มวิสาตา มิสติส ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้คนได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์ลี้ลับเท่านั้น แต่พวกเขายังช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเห็นคุณค่าของตึกรามบ้านเรือนอันเก่าแก่หรือสถานที่สำคัญต่างๆทางประวัติศาสตร์ในเมืองบันดุงที่ถูกทิ้งร้างมานาน และเป็นการช่วยปลูกฝังค่านิยมในการอนุรักษ์ไปด้วยในทางอ้อม
รายงานข่าวล่าสุดระบุทางกลุ่มฯเตรียมล่ารายชื่อประชาชนในเมืองบันดุงเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลอินโดนีเซียให้จัดทำโครงการส่งเสริม “การท่องเที่ยวชวนขนหัวลุก” ในบันดุงอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป เพื่อเป็นช่องทางใหม่ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองแห่งนี้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการเป็นสถานที่พักผ่อนในช่วงวันหยุดสำหรับประชาชนที่มาจากกรุงจาการ์ตา
การที่ชาวเมืองบันดุงเพียงกลุ่มเล็กๆ กำลังจะผลักดันให้เรื่องภูติผีและวิญญาณ กลายเป็นช่องทางใหม่ที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับเมืองของตน จึงเป็นการชี้ให้เราเห็นว่า เรื่องที่หลายคนกลัวจนฝังจิตฝังใจทั้งที่ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่นั้น หากมองอีกมุมหนึ่งแล้วก็ย่อมสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้คนได้เช่นเดียวกัน ไม่ต่างจาก “เหรียญที่มี 2 ด้าน”