เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีฌอง -โคลด จุงเกอร์ ของลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารประเทศมายาวนานที่สุดของยุโรป ได้ยื่นใบลาออกในวันนี้ (11) เนื่องจากความเกี่ยวข้องกับข่าวอื้อฉาวของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โดยเขาถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยในการกำกับตรวจสอบ จนทำให้หน่วยงานสายลับแห่งนี้มีการกระทำที่ไม่ถูกต้องจำนวนมาก
“ผมจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีในเวลา 10 นาฬิกาของวันพรุ่งนี้ (ตรงกับ 15.00 น.วันพฤหัสบดี (12) ในไทย) และจะยื่นจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการ” จุงเกอร์แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาลักเซมเบิร์กในตอนเย็นเมื่อวาน (10) ภายหลังจากการอภิปรายอย่างดุเดือดที่กินเวลานานถึง 7 ชั่วโมง
จุงเกอร์ประกาศว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งหลังจากพรรคสังคมนิยม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของเขายื่นญัติติขอให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ก่อนกำหนด
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากการลาออก” จุงเกอร์ชี้แจง “ผมทราบว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเลือกตั้งใหม่”
ทั้งนี้ เขากล่าวว่าจะลงแข่งขันด้วยเพื่อพิสูจน์ว่ายังคงได้รับความไว้วางใจจากประชาชน แต่ไม่ได้ระบุว่าจะพยายามเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่งหรือไม่ หลังจากการเลือกตั้งก่อนกำหนดที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนตุลาคมนี้
แม้จะมีอายุเพียง 58 ปี แต่จุงเกอร์ก็ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 18 ปี และทำงานอยู่ในรัฐบาลในตำแหน่งต่างๆ มาแล้วถึง 30 ปี เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดในยุโรปในฐานะประธานของคณะรัฐมนตรีคลังของยูโรโซนในช่วง 8 ปี ของความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ โดยสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ในเหตุอื้อฉาวทางการเมืองคราวนี้ ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมากในลักเซมเบิร์ก ประเทศที่ไม่ค่อยมีสถานการณ์ความวุ่นวาย รัฐสภาได้ตรวจสอบรายงานฉบับหนึ่งที่กล่าวหาว่า สำนักงานข่าวกรอง SREL ของประเทศซึ่งมีนายกฯ จุงเกอร์ เป็นผู้กำกับตรวจสอบ ได้กระทำความผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2009 เป็นต้นว่า การดักฟังโทรศัพท์ การทุจริตคอร์รัปชัน หรือแม้กระทั่งการแอบตกลงซื้อขายรถยนต์อย่างไม่โปร่งใส
“การเป็นประธานสำนักงานข่าวกรองไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของผม” จุงเกอร์แถลงในรัฐสภาในช่วงสายของเมื่อวาน (10) “ยิ่งกว่านั้นผมหวังว่าลักเซมเบิร์กจะไม่มีนายกฯ คนไหน ที่มองว่าสำนักงาน SREL เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบสำคัญมากที่สุด (ของเขาหรือของเธอ)”
รายงานฉบับดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของรัฐสภา ภายหลังที่เมื่อปีที่แล้ววารสารรายสัปดาห์ของลักเซมเบิร์กได้เผยแพร่เนื้อหาที่ได้จากการถอดเทปซึ่งแอบบันทึกการสนทนาเมื่อปี 2007 ระหว่างจุงเกอร์และมาร์โก มิลล์ ผู้อำนวยการสำนักงาน SREL ในเวลานั้น
ทั้งนี้ มิลล์ได้เปิดเผยในการสนทนาที่ถูกบันทึกว่า เจ้าหน้าที่ของเขายังได้แอบบันทึกการสนทนาของแกรนด์ดยุคแห่งลักเซมเบิร์ก และประมุขแห่งลักเซมเบิร์กองค์นี้มีการติดต่อเป็นประจำกับหน่วยข่าวกรอง MI6 ของอังกฤษ
ยิ่งไปกว่านั้น คณะกรรมาธิการของรัฐสภายังพบความไม่ชอบมาพากลที่ถูกปกปิดเอาไว้อีกจำนวนมาก เป็นต้นว่า มีการเก็บรายงานลับเกี่ยวกับบุคคลและธุรกิจต่างๆ 13,000 แฟ้ม, มีการแอบดักฟังโทรศัพท์ของพวกผู้นำทางธุรกิจอย่างผิดกฎหมาย, มีการปฏิบัติการที่อ้างว่าเป็นการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นโครงการบังหน้า เพื่อช่วยเหลือนายทุนอุตสาหกรรมรัสเซียผู้หนึ่งในการแอบจ่ายเงิน 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 310 ล้านบาท) ให้กับสายลับชาวสเปน และแม้กระทั่งมีการจัดตั้งกิจการตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรูอย่างมีเงื่อนงำ
“คณะกรรมาธิการไต่สวนสรุปว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติลักเซมเบิร์ก ไม่เพียงแต่บกพร่องในการดูแลควบคุมสำนักงานของตนเอง แต่ยังไม่แจ้งสิ่งผิดปรกติ ความไม่ถูกต้องตามระเบียบ และการกระทำผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นต่อคณะกรรมาธิการควบคุมของรัฐสภา หรือฝ่ายตุลาการอีกด้วย” รายงานดังกล่าวระบุ
ในระหว่างแถลงต่อรัฐสภา จุงเกอร์ตอบโต้ด้วยการกล่าวว่า คณะกรรมาธิการควบคุมของรัฐสภาต่างหากที่เป็นผู้บกพร่อง ไม่ใช้อำนาจในการตรวจสอบหน่วยข่าวกรอง “ที่จริงแล้วคณะกรรมาธิการสามารถยับยั้งการกระทำเหล่านั้นได้...หากแต่ไม่ลงมือ”