เอเอฟพี - ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอดส์อีกเกือบ 10 ล้านคน ที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานทางการแพทย์สำหรับการรับยาต่อต้านหรือยับยั้งเชื้อเอดส์ จากแถลงการณ์คำแนะนำเกี่ยวกับการบำบัดรักษาของสหประชาชาติฉบับแก้ไขที่ถูกเผยแพร่ในวันอาทิตย์ (30) ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าสามารถป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ได้ถึง 6.5 ล้านคน หรือยับยั้งการเกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ถึงปี 2025
แต่ว่าการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากค่าใช้จ่ายการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในระยะเวลา 32 ปีนั้นต้องใช้เงินถึง 2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (ราว 6.3 หมื่นล้านบาท) ต่อปี
การเยียวยารักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ในช่วงแรกนั้นจะสามารถคงไว้ซึ่งทั้งสุขภาพที่สมบูรณ์และปริมาณของเชื้อในกระแสเลือดที่ระดับต่ำ ซึ่งจะลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวไว้ในคำแนะนำใหม่สำหรับการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์
คำแนะนำเกี่ยวกับการบำบัดรักษาของหน่วยงานสหประชาชาติหลายฉบับก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะคำแนะนำในปี 2010 ที่มีการเรียกให้เริ่มใช้ยาเมื่อจำนวนของเซลล์ CD4 (เซลล์ภูมิคุ้มกันที่เป็นเป้าหมายของไวรัสเอดส์) ของผู้ป่วยมีจำนวนไม่เกิน 350 เซลล์ หรือต่ำกว่านั้นต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร
จากเกณฑ์มาตรฐานนี้ มีผู้ป่วยในบรรดาประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางจำนวน 16.7 ล้านคนที่มีคุณสมบัติทางการแพทย์เหมาะสมที่จะได้รับตัวยาแบบ “ค็อกเทล” หรือยาที่จัดเป็นชุด
แต่ทั้งๆ ที่เป็นปีที่มีเงินทุนเพิ่มขึ้นและมีความพยายามที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ในประเทศที่ยากจน แต่มีคนเพียง 9.7 ล้านคนจาก 16.7 ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับการรักษาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ (30) WHO กล่าวว่า ภายหลังการชั่งน้ำหนักพิสูจน์ผลของตัวยา ที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันและเรื่องของผลข้างเคียง มีการแนะนำให้เพิ่มขอบเขตของจำนวนเซลล์ CD4 ของผู้ป่วย จากที่กำหนดไว้เมื่อปี 2010 เป็น 500 เซลล์ต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร ซึ่งนั่นหมายความว่าการรักษาควรเริ่มต้นตั้งแต่ระยะแรกของการติดเชื้อ
และนั่นรวมไปถึงคำแนะนำให้ทำการรักษาสตรีตั้งครรภ์และเด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบที่่ติดเชื้อเอดส์ทั้งหมด โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนของเซลล์ ซึ่งถ้านับโดยรวมกับผู้ติดเชื้อที่ได้รับคำแนะนำให้เข้ารับยาทั้งหมดแล้ว จะอยู่ที่ราว 26 ล้านคน
มิเชล ซิดิเบอ์ ผู้อำนวยการหน่วยงานป้องกันโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ บอกต่อเอเอฟพีว่า “แนวทางใหม่นี้จะนำพาเราไกล้สู่สิ่งที่เรียกว่าจุดสิ้นสุดของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์”