รอยเตอร์ - การส่งอาวุธเข้าไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลหรือกบฏซีเรียก็ตาม จะยิ่งส่งเสริมให้ทั้ง 2 ฝ่ายก่ออาชญากรรมสงครามหนักขึ้น ผู้ตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงวานนี้(21)
เปาโล ปิเญโร ประธานคณะกรรมาธิการสอบสวนแห่งสหประชาชาติกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซีเรีย กล่าวว่า “รัฐที่จะจัดส่งอาวุธเข้าไปในซีเรียต้องมีส่วนรับผิดชอบ หากอาวุธที่พวกเขาส่งไปถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
“อาวุธพวกนั้นจะยิ่งทำให้อาชญากรรมสงครามเกิดแพร่หลายขึ้น”
สัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ประกาศจะมอบความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ฝ่ายกบฏที่ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลซีเรียให้ได้ โดยอ้างถึงหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน
ปิเญโร เขียนรายงานส่งถึงสภาสิทธิมนุษยชนยูเอ็นในนครเจนีวาเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ทีมของเขาพบหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า อาวุธเคมีถูกนำออกมาใช้ในสงครามกลางเมืองซีเรียอย่างจำกัด ทั้งโดยรัฐบาลและกองกำลังกบฏ แต่จากการสอบสวนพบว่าส่วนใหญ่เป็นฝีมือทหารอัสซาด
รัฐบาลซีเรียยืนยันว่า ทหารไม่เคยใช้อาวุธเคมีอย่างแน่นอน และผู้กระทำก็คือกลุ่มกบฏ
ด้านรัสเซียซึ่งให้การสนับสนุนอาวุธแก่ อัสซาด เช่นเดียวกับอิหร่าน กล่าวหาว่าซาอุดีอาระเบีย, กาตาร์ รวมถึงอังกฤษและฝรั่งเศส กำลังติดอาวุธให้กบฏซีเรีย
สหภาพยุโรปประกาศผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อซีเรียในเดือนที่แล้ว ส่วนลอนดอนและปารีสก็แสดงออกชัดเจนว่ามีแผนจะติดอาวุธให้กบฏซีเรีย แต่ยืนยันว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจลงไป
สงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปีคร่าชีวิตพลเมืองผู้บริสุทธิ์ไปแล้วกว่า 90,000 ราย