เอเอฟพี - รัฐบาลอินโดนีเซียท้าทายความเกรี้ยวกราดของประชาชน ด้วยการเดินหน้าผลักดันการขึ้นราคาน้ำมันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 หลังจากที่เมื่อวาน (17) ตำรวจปะทะกับกลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนที่รออยู่ด้านนอกของสภา
ผู้ประท้วงพากันขว้างปาระเบิดขวดใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งระดมยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุมเมื่อเย็นวันจันทร์ (17) เนื่องจากไม่พอใจที่สมาชิกสภาได้อนุมัติให้ใช้มาตรการลดทอนเงินอุดหนุนราคาน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คณะรัฐมนตรีแถลงว่าครั้งนี้รัฐบาลจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว ในขณะที่มีการเสริมกำลังตำรวจอีกหลายร้อยนาย เพื่อป้องกันรัฐสภาจากกลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่ต้องการให้ขึ้นราคาน้ำมันอีกราว 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาชุมนุมกันเป็นวันที่ 2 แล้ว
นาจิบ ราซัค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแดนอิเหนา กล่าวย้ำว่า “ราคาน้ำมันจะต้องเพิ่มสูงขึ้น” โดยระบุว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสรุปรายละเอียดก่อนที่รัฐบาลจะประกาศให้มีผลในเร็ววันนี้
“การขึ้นราคาเป็นสิ่งจำเป็นมาก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก” เขากล่าวเสริม โดยอ้างถึงการเทขายหุ้นในตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเดือนนี้ ซึ่งก็ได้ทำให้หุ้นของจาการ์ตาและเงินรูเปียห์ตกฮวบลง
รองประธานาธิบดีโบเอดิโอโน ขอให้ประชาชน “อยู่ในความสงบ” และไม่ต้องกักตุนน้ำมัน เนื่องจากมีรายงานเผยว่าประชาชนเริ่มดำเนินการกักตุนน้ำมันก่อนที่ราคาจะพุ่งพรวดแล้ว
ขณะที่ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน กล่าวที่กรุงจาการ์ตาเมื่อวันอังคาร (18) ว่าการที่ประชาชนทวีความโกรธแค้นเนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์จะไม่สามารถขัดขวางรัฐบาลไม่ให้ผลักดันมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนนี้ได้
“เราต้องการปกป้องเศรษฐกิจระดับมหภาคเอาไว้” ยุโธโยโนแถลง
ในวันอังคาร (18) ก็มีผู้ประท้วงออกมาชุมนุมตามท้องถนนอีกครั้ง แต่มีจำนวนน้อยกว่าเมื่อวาน (17) ซึ่งมีฝูงชนหลายพันมารวมตัวกันในกรุงจาการ์ตาและเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ
ประชาชนหลายร้อยคนมารวมตัวประท้วงที่หน้าเปอร์ตามีนา รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานในเมืองเมดาน ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา ส่วนผู้ประท้วงกลุ่มเล็กๆ พากันเผายางรถและปิดถนนสายต่างๆ ในเมืองอื่น ในขณะที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้นในจาการ์ตา
ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (17) ในระหว่างที่มีการอภิปรายในสภา ได้มีกลุ่มผู้ประท้วง 8,000 คนออกมาชุมนุมกันทั่วเมืองจาการ์ตา โดยกลุ่มผู้ประท้วงที่ชุมนุมกันอยู่ด้านนอกรัฐสภาหลายพันคนได้ขว้างปาระเบิดขวด ดอกไม้ไฟ และขวดใส่ตำรวจปราบจลาจลที่ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง
มีผู้ประท้วง 88 คนถูกจับกุมในเหตุประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วทั้งจาการ์ตา อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่าพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวในวันอังคาร (18) และจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ามีผู้ประท้วงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ในขณะที่มีประชาชนอย่างน้อย 14 คนจากได้รับบาดเจ็บจากเหตุประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศอินโดนีเซีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจในชวาตะวันตกและจังหวัดลัมปุงยึดน้ำมันปริมาตรหลายพันลิตร ซึ่งต้องสงสัยว่ามีประชาชนซื้อมากักตุนเพื่อรอให้น้ำมันขึ้นราคา และได้จับกุมผู้ต้องสงสัยในขบวนการอีกหลายคน ในขณะที่เปอร์ตามีนาเผยว่ายอดการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น 3 ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไม่กี่วันมานี้
เป็นที่คาดหมายกันว่า ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีก 33 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ โดยที่ราคาน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้นจากลิตรละ 4,500 รูเปียห์ (ราว 13.5 บาท) เป็น 6,500 รูเปียห์ (ราว 19.5 บาท) ในขณะที่น้ำมันดีเซลจะขึ้นจากลิตรละ 4,500 รูเปียห์ เป็น 5,500 รูเปียห์ (ราว 16.5 บาท)
ในการประชุมรัฐสภาที่ต่อเนื่องมาจากวันจันทร์ สมาชิกสภาได้เห็นชอบกับการปรับปรุงแก้ไขร่างงบประมาณ ซึ่งมีการเพิ่มบรรดามาตรการชดเชยให้แก่คนยากจนหลายล้านคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงมากที่สุด
ทั้งนี้ครอบครัวที่มีฐานะยากจนจะได้รับเงินอุดหนุนเดือนละ 15 ดอลลาร์ (ราว 450 บาท) เป็นเวลา 4 เดือนต่อจากนี้ เพื่อชดเชยผลกระทบที่พวกเขาจะได้รับจากการขึ้นราคาน้ำมัน ซึ่งคาดกันว่าจะทำให้ราคาสินค้าในชีวิตประจำวันสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะค่าขนส่งสินค้าที่แพงขึ้น
ประธานาธิบดียุโธโยโน ยืนยันว่าจะต้องออกมาตรการช่วยเหลือคนจนเหล่านี้ก่อนที่จะมีการขึ้นราคาเชื้อเพลิงชนิดใดก็ตาม ซึ่งจะนำมาประกาศใช้ในช่วงเวลาที่บรรดาพรรคการเมืองกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในปี 2014
ยุโธโยโนได้พยายามหาทางลดทอนมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันมาสักพักหนึ่งแล้ว และเขาก็เกือบจะทำสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว ทว่ารัฐสภาได้ปฏิเสธมาตรการดังกล่าวหลังจากในขณะนั้นมีกลุ่มผู้ประท้วงมารวมตัวเป็นจำนวนมากกว่าและทวีความรุนแรงยิ่งกว่าในปีนี้เสียอีก
ทางด้านบรรดานักลงทุนชาวต่างชาติต่างรู้สึกกังวลกันมากขึ้นว่ารัฐบาลจะดำเนินการลดทอนเงินอุดหนุนราคาน้ำมันไม่สำเร็จ ซึ่งจะทำให้ประเทศขาดดุลงบประมาณ เพราะมีความต้องการการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องมียอดหนี้ก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ