รอยเตอร์ - ตำรวจตุรกีใช้ปืนฉีดน้ำและแก๊สน้ำตาเข้าสกัดกั้นชาวบ้านที่ออกมาประท้วงรัฐบาลในเมืองอิสตันบูลเมื่อวานนี้(31) ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ขณะที่เหตุจลาจลเริ่มลุกลามไปสู่เมืองใหญ่อื่นๆ จนอาจกลายเป็นการประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
ผู้ประท้วงหลายพันคนเดินขบวนไปตามถนนรอบๆจัตุรัสตักซิมใจกลางเมืองอิสตันบูล ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางเหตุจลาจลทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ขณะที่กรุงอังการาและเมืองอิซมีร์ ริมชายฝั่งทะเลอีเจียน ก็ปรากฎว่ามีการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นเช่นกัน
บนถนนสายช้อปปิ้งใกล้จัตุรัสตักซิมมีเศษกระจกและก้อนหินเกลื่อนกระจายอยู่เต็มพื้น เด็กนักเรียนประถมต่างวิ่งกระจองอแงหนีแก๊สน้ำตา ส่วนนักท่องเที่ยวก็รีบกลับเข้าไปยังโรงแรมหรูที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆจัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้
เหตุจลาจลครั้งนี้สะท้อนถึงความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลเผด็จการของนายกรัฐมนตรี ตอยยิบ เออร์โดแกน และพรรคความยุติธรรมแลการพัฒนา (AKP) ซึ่งมีรากมาจากฝ่ายอิสลามิสต์
ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตำรวจตุรกีได้เข้าตะลุมบอนกับผู้ประท้วงวันแรงงานหลายพันคนในเมืองอิสตันบูล ขณะที่ประชาชนหลายกลุ่มยังออกมาต่อต้านจุดยืนของรัฐบาลที่มีต่อปัญหาซีเรีย รวมถึงกฎระเบียบว่าด้วยการจำหน่ายแอลกอฮอล์ และการห้ามมิให้ผู้คนแสดงความรักใคร่ในที่สาธารณะ
ชาวตุรกีอีกหลายพันคนได้ออกมาชุมนุมและตะโกนขับไล่รัฐบาลที่สวนสาธารณะในกรุงอังการา ขณะที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาปราบผู้ชุมนุมหลายสิบคนพยายามบุกเข้าไปในที่ทำการพรรคเอเคพี
องค์การนิรโทษกรรมสากลออกมาตำหนิ “การใช้ความรุนแรงเกิดเหตุ” ของตำรวจตุรกี ส่วน เรีย อูเม็น-รูจิเทน ผู้รายงานสภายุโรปประจำตุรกี ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน หลังมีรายงานว่าสตรีเชื้อสายปาเลสไตน์วัย 34 ปี คนหนึ่งถูกตำรวจใช้กระป๋องแก๊สฟาดเข้าที่ศีรษะจนเลือดออกในสมอง
ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า วอชิงตันมีความเป็นห่วงเรื่องจำนวนผู้บาดเจ็บ และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุจลาจลในตุรกี
“เราเชื่อมั่นว่า เสถียรภาพ, ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองที่ตุรกีมีมาอย่างยาวนาน มีพื้นฐานมาจากการรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม ซึ่งเป็นสิ่งที่พลเมืองที่นั่นกำลังกระทำอยู่ในเวลานี้” เจน พีซากี โฆษกหญิงของวอชิงตัน ระบุ
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เออร์โดแกน ได้นำความเปลี่ยนแปลงหลายด้านมาสู่ตุรกี เศรษฐกิจที่อ่อนแอถูกพลิกฟื้นจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในยุโรป รายได้ต่อหัวของพลเมืองเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่านับจากวันแรกที่พรรคเอเคพีของเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ