เอเอฟพี - อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มชาวอเมริกันวัยกลางคนเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ โดยสถิติของรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่า พลเมืองในช่วงวัยนี้คิดสั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว
สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (ซีดีซี) ระบุว่า จำนวนคนอเมริกันที่ฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียอีก โดยเฉพาะในช่วงอายุระหว่าง 35-64 ปี ซึ่งอัตราการฆ่าตัวตายขยับจาก 13.7 ต่อ 100,000 ในปี 1999 ขึ้นมาเป็น 17.6 ต่อ 100,000 ในปี 2010 หรือเพิ่มขึ้นราว 28%
กลุ่มพลเมืองที่ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองมากที่สุด คือ ผู้ที่อายุ 50 กว่าปี ซึ่งเป็นคนรุ่นท้ายๆที่เกิดในช่วง “เบบี้บูม” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เกือบครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้เลือกยุติปัญหาชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย
ซีดีซีเผยว่า อัตราการฆ่าตัวตายในประชากรที่อายุระหว่าง 35-64 ปี มีค่าเฉลี่ยเกือบ 18 ต่อ 100,000 ในปี 2010 หรือเพิ่มขึ้นจากทศวรรษที่แล้ว 4 จุด
การฆ่าตัวตายยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวอเมริกันมากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยในปี 2010 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ 33,687 ราย ขณะที่คนฆ่าตัวตายสูงถึง 38,364 คน
ชาวอเมริกันผิวขาวที่ไม่ได้มีเชื้อสายฮิสแปนิก และชาวอเมริกันพื้นเมือง มีสถิติการฆ่าตัวตายต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และร้อยละ 65 ตามลำดับ
ซีดีซีพบด้วยว่า แม้คนส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธียิงตัวตาย แต่ผู้ที่เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจและแขวนคอตายกลับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือกว่าร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว
“ในการหายุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายนั้น เราจำเป็นต้องทราบภาวะกดดันต่างๆที่ชาวอเมริกันวัยกลางคนได้รับอยู่ และอาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาคิดสั้นขึ้นมา” ลินดา เดกูทิส ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมการบาดเจ็บในสังกัดซีดีซีระบุ
ซีดีซียังเสนอแนะบางวิธีที่จะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายในสังคมอเมริกัน เช่น การเพิ่มแรงสนับสนุนทางสังคม หรือส่งเสริมให้พลเมืองเข้ารับคำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้อย่างสะดวกขึ้น เป็นต้น