เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส ผู้นำกรีซ ยืนยันระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะไม่มีการบังคับใช้มาตรการรัดเข็มขัดใดๆ เพิ่มเติมอีก พร้อมเปรียบเทียบเศรษฐกิจของกรีซในเวลานี้ว่ามีสภาพไม่ต่างจากผู้ป่วยที่เพิ่งได้ออกจากห้อง “ไอซียู” แต่ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
นายกรัฐมนตรีกรีซวัย 61 ปี ซึ่งก้าวขึ้นมาครองอำนาจตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วยืนยันว่า เศรษฐกิจของกรีซเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ และมีแนวโน้มที่สดใส หลังจากที่กรีซต้องเผชิญกับภาวะถดถอยต่อเนื่องถึง 6 ปีติดต่อกัน และกลายเป็นประเทศหนี้สินล้นพ้นตัวที่รอดพ้นจากภาวะล้มละลายมาได้อย่างฉิวเฉียด เพียงเพราะความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ซามาราส ซึ่งเป็นแกนนำของพรรคการเมืองสายกลาง-ขวาอย่างพรรค “ประชาธิปไตยใหม่” แสดงความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของกรีซจะกลับมาเติบโตในแดนบวกได้อีกครั้งหลังจากปี 2014 ไปแล้ว
“เศรษฐกิจของกรีซเปรียบเหมือนกับคนไข้อาการโคม่า ที่เพิ่งได้ออกจากห้องผู้ป่วยหนักเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่คนไข้ที่ชื่อกรีซซึ่งกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องรายนี้ยังจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป” ซามาราสกล่าว
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของนายกรัฐมนตรีกรีซมีขึ้นในขณะที่ผู้แทนจากภาคีเจ้าหนี้ 3 ฝ่าย หรือ “ทรอยกา” ที่ประกอบด้วยสหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กำลังทบทวนความคืบหน้าของกรีซในการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ของการขอรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้มาตรการรัดเข็มขัดอันเข้มงวด
ทั้งนี้ รัฐบาลเอเธนส์ซึ่งรับความช่วยเหลือทางการเงินจากอียูและไอเอ็มเอฟไปแล้วกว่า 240,000 ล้านยูโร (ราว 9.27ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2010 มีพันธะที่ต้องลดจำนวนพนักงานภาครัฐลงราว 25,000 คนภายในปีนี้ และต้องปลดพนักงานของรัฐลงให้ได้ทั้งหมด 150,000 รายภายในสิ้นปี 2015 เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐตามข้อกำหนดในมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจล่าสุด