เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - บรรดาผู้นำพรรคการเมืองในรัฐบาลผสมของกรีซบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐรอบใหม่อีก 11,500 ล้านยูโร (ราว 444,400 ล้านบาท) ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นเพื่อให้กรีซสามารถขอรับความช่วยเหลือทางการเงินงวดใหม่มูลค่า 31,500 ล้านยูโร (ราว 1.22 ล้านล้านบาท) จากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพราะหากกรีซไม่ได้รับเงินก้อนดังกล่าว ก็จะต้องเผชิญกับภาวะล้มละลายอย่างสิ้นเชิงภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโรโซน หรือ 17 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินตราสกุลหลัก
ด้าน นายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส ของกรีซ ออกมายืนยันถึงความจำเป็นที่กรีซจะต้องเรียกคืนความเชื่อมั่นให้ได้ ก่อนที่กรีซจะไปร้องขอให้บรรดาเจ้าหนี้ระหว่างประเทศยอมผ่อนผันขยายเวลาไปจนถึงปี 2013-2014 เพื่อให้กรีซมีเวลามากขึ้นในการดำเนินการให้บรรลุผลตามข้อกำหนดในมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจต่างๆ
อย่างไรก็ดี ผู้นำกรีซยืนยันว่าจะพยายามลดทอนผลกระทบทางสังคมให้ได้มากที่สุด จากการตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอีก 11,500 ล้านยูโรดังกล่าว ซึ่งจะทำให้มีการตัดลดเงินผลประโยชน์และสวัสดิการภาครัฐ รวมถึงเงินบำนาญเพิ่มเติมอีกก็ตาม
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลเอเธนส์มีขึ้นหลังจากคณะผู้ตรวจสอบ 3 ฝ่าย หรือ “ทรอยกา” ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากอียู ไอเอ็มเอฟ และจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ออกมาแถลงว่าจะไม่มีการปล่อยความช่วยเหลือทางการเงินรอบใหม่ หากกรีซยังไม่มีความคืบหน้ามากพอในการดำเนินมาตรการตัดลดการใช้จ่ายและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กรีซได้รับความช่วยเหลือจากอียู-ไอเอ็มเอฟมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ เงินช่วยเหลือมูลค่า 100,000 ล้านยูโร (ราว 3.85 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 ส่วนครั้งล่าสุด คือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในวงเงิน 130,000 ล้านยูโร (ราว 5 ล้านล้านบาท)
