รอยเตอร์ - รัฐบาลเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ปฏิเสธคำสั่งคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เรียกร้องให้เปียงยางยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ วันนี้(9) อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโสมแดงไม่ยี่หระต่อแรงต้านใดๆ และพร้อมที่จะเดินหน้าเต็มสูบเพื่อไปสู่ความเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์
มติคว่ำบาตรล่าสุดซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเริ่มบังคับใช้ วานนี้ (8) ประกอบด้วยการปิดกั้นธุรกรรมทางการเงิน และขัดขวางการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้าและออกจากรัฐคอมมิวนิสต์ โดยปักกิ่งซึ่งถือเป็นมหามิตรหนึ่งเดียวของเกาหลีเหนือก็สนับสนุนให้ใช้มาตรการนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจเหมือนกรณีอิหร่าน
คำสั่งคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2006 มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของเปียงยาง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ มีแถลงการณ์โต้ตอบในวันนี้ (9) ว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีขอประณามและปฏิเสธมติคว่ำบาตรนี้อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลพวงจากนโยบายก้าวร้าวที่สหรัฐฯมีต่อเรา”
“ทั่วโลกจะได้เห็นจุดยืนถาวรของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ในการที่จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และฐานยิงดาวเทียม เพื่อตอบโต้สหรัฐฯที่ยุยงให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นประกาศมติคว่ำบาตรเรา”
รัฐบาลสหรัฐฯเตือนว่า คำข่มขู่ซ้ำซากเช่นนี้รังแต่จะทำให้เกาหลีเหนือถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกมากขึ้น
“สหรัฐอเมริกาพร้อมด้วยพันธมิตรของเรา พร้อมที่จะจัดการภัยคุกคามและความเป็นจริงทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกนี้” ชัค เฮเกล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงก่อนเดินทางเยือนอัฟกานิสถาน วานนี้ (8)
เกาหลีเหนือท้าทายคำขู่ของนานาประเทศด้วยการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าเดิม และยังอ้างว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่มีขนาดย่อมแล้วด้วย อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ปักใจเชื่อคำกล่าวอ้างนี้ และคิดว่าเป็นความพยายามของเปียงยางที่จะเพิ่มอำนาจต่อรองกับนานาชาติท่ามกลางแรงบีบคั้นมากกว่า
ผู้สันทัดกรณีเชื่อว่า เกาหลีเหนือยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปที่สามารถโจมตีแผ่นดินสหรัฐฯได้ แต่ยอมรับว่าเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ในข่ายเสี่ยงภัยจากขีปนาวุธพิสัยใกล้และกลางของเกาหลีเหนือ
