เอเอฟพี - สหภาพยุโรปและไทยเมื่อวันพุธ (6) แถลงร่วมเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) หวังเพิ่มมูลค่าทางการค้าต่อกัน จากปัจจุบันที่มีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ 30,000 ล้านยูโรต่อปี
นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรป แถลงกับผู้สื่อข่าวเคียงข้างนาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ว่า “วันนี้ เรายินดีที่จะแถลงถึงการเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างอียูและไทย”
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีกำหนดเข้าพบนายเฮอร์มัน ฟาน รอมปุย ประธานสหภาพยุโรป และนายมาร์ติน ชูลส์ ประธานสภายุโรป กล่าวเสริมว่า “ประเทศไทยหวังว่าจะได้ข้อสรุปของเอฟทีเอโดยเร็ว”
ความพยายามหนล่าสุดเพื่อข้อตกลงทางการค้าแบบทวีภาคีครั้งนี้ มีขึ้นขณะที่เหล่าผู้นำของสหภาพยุโรปเตรียมตัวเดินทางไปยังญี่ปุ่นเพื่อเริ่มต้นเจรจาแบบเดียวกัน จากรายงานข่าวของสื่อมวลชนแดนปลาดิบฉบับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ทางอียูก็หวังจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมในการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่ใหญ่กว่านี้กับสหรัฐฯ ชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลก ระหว่างประชุมซัมมิทอียูสัปดาห์หน้า หลังประสบความสำเร็จลงนามเขตการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนกับสิงคโปร์เองก็มีทีท่าไปได้สวย
ไทยเปรียบเสมือนจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่ทางสหภาพยุโรปวางเป้าหมายในขั้นท้ายสุดถึงความร่วมมืออย่างกว้างกับทุกประเทศ ขณะที่บาร์โรโซย้ำว่า ไทยมีบทบาทสำคัญในอาเซียนและทางอียูต้องการเห็นกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สานต่อเสถียรภาพเช่นนี้ต่อไป
ทั้งนี้ ประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรปยังมอบใบประกาศขึ้นทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ภายใต้การคุ้มครององค์การการค้าโลก นับเป็นผลิตภัณฑ์แรกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน
อียูคิดเป็นร้อยละ 10 ของการค้าระหว่างประเทศของไทย และแต่ละปีจะมีพลเมืองจากยุโรปเดินทางเยือนไทยราวๆ 5.5 ล้านคน “เราจะมองไปข้างหน้าถึงการขยายขอบเขตความร่วมมืออื่นๆ” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว