เอเอฟพี - สาวกโบสถ์คริสต์แห่งความสามัคคี (Unification Church) หลายพันคนเข้าพิธีวิวาห์อย่างชื่นมื่นในเกาหลีใต้ วันนี้ (17) ซึ่งนับเป็นพิธีสมรสหมู่ครั้งแรกที่จัดขึ้นหลังการถึงแก่กรรมของซัน เมียง มูน มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งโบสถ์ซึ่งบรรดาสาวกยกย่องให้เป็น “เมสสิอาห์” ที่แท้จริง
บ่าวสาวราว 3,500 คู่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างเชื้อชาติ และเพิ่งรู้จักกันครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน เข้าพิธีสมรสที่สำนักงานใหญ่ของโบสถ์คริสต์แห่งความสามัคคี ณ เมืองกาพยอง ทางตะวันของออกกรุงโซล
พิธีสมรสหมู่ซึ่งจัดตามสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ ถือเป็นกิจกรรมหลักที่ทำให้โบสถ์แห่งนี้เป็นที่รู้จักมากที่สุด ขณะที่นักวิจารณ์ชี้ว่าคำสอนของ “พวกมูนนี” เป็นแค่ลัทธิหนึ่งเท่านั้น
พิธีในวันนี้ (17) ถือว่าสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากได้ ฮัก จา ฮัน ภริยาหม้ายวัย 70 ปี ของมูน เป็นประธานในพิธีเป็นครั้งแรก หลังสามีของเธอเสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวมเมื่อ 5 เดือนก่อน
โบสถ์คริสต์แห่งความสามัคคีเริ่มจัดพิธีสมรสหมู่ครั้งแรกในทศวรรษที่ 1960 โดยเริ่มจากหญิงชายเพียงไม่กี่คู่ ก่อนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหลักพันหลักหมื่น และกลายเป็นที่สนใจของสื่อทั่วโลก
เมื่อปี 1997 มีบ่าวสาวเข้าพิธีสมรสหมู่ที่กรุงวอชิงตันถึง 30,000 คู่ และอีก 2 ปีต่อมาก็มีหญิงชายถึง 21,000 คู่เข้าพิธีวิวาห์ซึ่งโบสถ์จัดขึ้นที่สนามกีฬาโอลิมปิกสเตเดียมในกรุงโซล
มูน จะเป็นผู้คัดเลือกและจับคู่บ่าวสาวด้วยตนเอง พร้อมกับสั่งสอนว่า ความรักแบบโรแมนติกคือบ่อเกิดแห่งความสำส่อนทางเพศ, คู่สามีภรรยาที่ไปกันไม่ได้ และปัญหาสังคมอื่นๆ
สาวกส่วนใหญ่ตัดสินใจแต่งงานหลังรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง และมูนก็มักจะเลือกหญิงชายที่มาจากต่างวัฒนธรรม ต่างเชื้อชาติ ซึ่งหมายความว่าคู่สมรสส่วนใหญ่จะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน
จิม เดวิดสัน นักศึกษาวัย 21 ปีจากสหรัฐฯ ผู้ซึ่งพ่อชาวออสเตรเลียและแม่ชาวญี่ปุ่นของเขาก็แต่งงานโดยการคัดเลือกของมูนเช่นกัน ยอมรับว่า “ครับ ผมกังวลอยู่เหมือนกัน”
“แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ปรากฏตรงหน้าผม และผมก็โอเค” เดวิดสันเอ่ยถึงโคโตนะ ชิมิสุ ว่าที่เจ้าสาวชาวญี่ปุ่นวัย 21 ปีของเขา
“เราต้องใช้ความพยายามสื่อสารกันพอสมควร เพราะผมพูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย ส่วนเธอก็พูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่เรามองว่ามันเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้น และเป็นบทพิสูจน์ความศรัทธาของเราด้วย”
คำสอนของโบสถ์แห่งความสามัคคีมีพื้นฐานจากคัมภีร์ไบเบิล แต่อาศัยการตีความใหม่ของมูน ซึ่งเชื่อว่าตนมีหน้าที่เติมเต็มภารกิจของพระเยซู ในการที่จะทำให้มนุษยชาติกลับไปสู่ภาวะ “ปราศจากบาป”