รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ข้อตกลงหยุดยิงฝ่ายเดียว ที่ประกาศไว้โดยกองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย หรือ “เอฟเออาร์ซี” ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏนิยมมาร์กซิสม์ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันอาทิตย์ (20) หลังจากฝ่ายรัฐบาลปฏิเสธไม่ยอมตอบรับกระบวนการสันติภาพ ถือเป็นข่าวร้ายที่บ่งชี้ว่าฝ่ายกบฏที่จับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลโบโกตามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 กลุ่มนี้กำลังหวนกลับเข้าสู่วงจรของการทำสงครามที่มีชีวิตของประชาชนโคลอมเบียเป็นตัวประกันอีกครั้ง
อิบัน มาร์เกซ แกนนำในการเจรจาของกลุ่มเอฟเออาร์ซีเผยต่อผู้สื่อข่าว โดยระบุว่ารู้สึกเสียใจที่ทางกลุ่มต้องกลับไปจับอาวุธทำสงครามกับรัฐบาลโคลอมเบียรอบใหม่ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครอยากเห็นการนองเลือดของคนในประเทศอีก หลังการเจรจาสันติภาพซึ่งดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่กรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบาประสบความล้มเหลว
รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่เลวร้ายที่สุดของทวีปอเมริกาใต้นี้ประสบความล้มเหลว เป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลโคลอมเบียไม่ยอมยุติการกวาดล้างฝ่ายกบฏเอฟเออาร์ซี โดยยังคงเข่นฆ่าและจับกุมสมาชิกของฝ่ายกบฏเป็นรายวัน ทั้งที่ฝ่ายกบฏประกาศข้อตกลงหยุดยิงไปแล้ว
ด้านประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลอมเบีย ซึ่งมีจุดยืนไม่ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงฝ่ายเดียวของพวกกบฏเอฟเออาร์ซีมาตั้งแต่ต้น ได้ออกมาแถลงที่กรุงโบโกตาเมื่อคืนวันอาทิตย์ (20) โดยระบุว่าแม้จำนวนของเหตุร้ายและทหารฝ่ายรัฐบาลที่บาดเจ็บล้มตายจากฝีมือของฝ่ายกบฏจะลดน้อยลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่รัฐบาลก็ยังคงพบหลักฐานว่าฝ่ายกบฏยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้กองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้ากวาดล้างต่อไป เพื่อขัดขวางความเป็นไปได้ในการเปิดฉากทำสงครามครั้งใหม่ของพวกเอฟเออาร์ซี
ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลโคลอมเบียต่างออกโรงประณามข้อตกลงหยุดยิงฝ่ายเดียวของกลุ่มกบฏเอฟเออาร์ซี โดยระบุเป็นเพียงความพยายามของกลุ่มที่จะเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติ โดยบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลต่างลงความเห็นว่า รัฐบาลควรเดินหน้ากวาดล้างนักรบเอฟเออาร์ซีต่อไปเพื่อลดทอนอำนาจต่อรองของฝ่ายกบฏในการเจรจาใดๆ
ทั้งนี้ การสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังของเอฟเออาร์ซีเริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ ปี 1964 และถือเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดของภูมิภาคลาตินอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งนี้ไปแล้วหลายหมื่นคน และอีกหลายล้านคนต้องอพยพหนีภัยสงคราม แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มกบฏเอฟเออาร์ซีได้อ่อนกำลังลงมากจากการถูกรัฐบาลโคลอมเบียซึ่งมีสหรัฐฯหนุนหลัง ปราบปรามอย่างรุนแรง แม้จะเป็นที่คาดว่ากลุ่มกบฏยังคงเหลือกำลังพลในสังกัดอีกกว่า 9,000 คนก็ตาม