ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งใกล้วันที่ 21 ธันวาคม กระแสข่าวเรื่องวันสิ้นโลกดูจะยิ่งเป็นที่กล่าวถึงบ่อยขึ้น การสิ้นสุดลงแห่งวันเวลาตามที่ระบุไว้ในปฏิทินของชาวมายา รวมถึงคำพยากรณ์เรื่องพายุสุริยะที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันพอดิบพอดี ทำให้คนทั่วโลกต่างจับจ้องรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นด้วยหัวใจระทึก
ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกอยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน ชนเผ่าแอสเท็กซ์ทางตอนกลางของเม็กซิโกมีความเชื่อว่า ทุกๆ 52 ปีดวงอาทิตย์จะหยุดขึ้นทางทิศตะวันออก ดังนั้นจึงเกิดพิธีบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์เพื่อวิงวอนให้สรรพสิ่งในจักรวาลยังคงดำเนินต่อไปตามวิถีของมัน
คัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ก็เล่าถึงเหตุการณ์วันสิ้นโลกไว้ในพระวิวรณ์ (Revelation) ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในพันธสัญญาใหม่ โดยกล่าวถึงเหตุร้ายและความทุกข์เข็ญต่างๆที่จะเกิดในช่วงสิ้นยุค และการเสด็จฯกลับมายังโลกของพระเยซู ส่วนศาสนาอิสลามก็มีคำสอนเรื่องวันพิพากษาหรือ “วันกิยามะห์” ซึ่งเป็นวันแห่งความโกลาหลที่จะเกิดไฟประลัยกัลป์ไล่ต้อนมนุษย์ให้ไปรวมอยู่ที่เดียวกัน
เมื่อเอ่ยถึงข่าววันสิ้นโลกในปี 2012 สิ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางที่สุดกลับกลายเป็นปฏิทินของชาวมายาโบราณ ซึ่งระบุวันสิ้นสุดแห่งกาลเวลาไว้ตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 รวมถึงคำทำนายจากจารึกที่พบในอุทยานแห่งชาติ Tortuguero ในเม็กซิโก ซึ่งเชื่อว่าผู้ปกครองอาณาจักรมายาที่กำลังพ่ายสงครามเป็นผู้เขียนทิ้งไว้ จารึกนั้นระบุว่า ความพ่ายแพ้ของนักรบมายาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนที่วันเวลาจะสิ้นสุดลงในปี 2012
นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า คำทำนายของชนเผ่ามายาถูกตีความคลาดเคลื่อนไปมาก และการสิ้นยุคในความเชื่อของชาวมายานั้นก็ไม่ได้หมายถึงวันที่โลกจะดับสูญ เป็นแต่เพียงจุดสิ้นสุดของรอบปฏิทินซึ่งกินเวลาประมาณ 5,000 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่เท่านั้น
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดแนวภัยพิบัติหลายเรื่องก็ได้แนวคิดมาจากความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เช่น ภาพยนตร์ “2012 Doomsday” โดยผู้กำกับ โรแลนด์ เอมเมอริช รวมไปถึงหนังสือ “The Mayan Testament” ของ สตีฟ แอลเทน ที่ว่าด้วยความเชื่อและคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกชองชาวมายา
ประเทศแถบเมโสอเมริกา เช่น เม็กซิโก, เบลีซ, กัวเตมาลา, เอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส ต่างเตรียมฉลองการสิ้นสุดของปฏิทินมายาในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลายล้านคนหลั่งไหลเข้าไปสัมผัสบรรยากาศของงาน ซึ่งจะมีทั้งการจุดพลุดอกไม้ไฟ, คอนเสิร์ต และการแสดงอื่นๆ ตามโบราณสถานของชาวมายากว่า 30 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ลูกหลานชาวมายากลับไม่ยินดีที่ความเชื่อของบรรพบุรุษถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฟิลิเป โกเมซ ผู้นำสหพันธ์ลูกหลานชาวมายาในกัวเตมาลา ออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลและบริษัททัวร์พยายามบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับปฏิทินมายา และฉวยโอกาสหากินกับคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลก ซึ่งสำหรับชาวมายาเองแล้วเชื่อว่าปี 2012 จะเกิดเพียง “ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับตัวบุคคล, ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” มิใช่วันสิ้นโลกตามที่คนทั่วไปเข้าใจ
ไม่กี่สัปดาห์ทีผ่านมายังมีการปล่อยคลิปล้อเลียนความยาว 50 วินาที ซึ่งนายกรัฐมนตรี จูเลีย กิลลาร์ด ผู้นำหญิงแห่งเมืองจิงโจ้ ออกมาเอ่ยเตือนประชาชนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า ซอมบี้กินคนและปีศาจร้ายจากอเวจีอาจถูกปลดปล่อยในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ คลิปดังกล่าวกลายเป็นที่ฮือฮาไม่น้อยหลังถูกโพสต์ลงบนยูทิวบ์ จนโฆษกของนายกฯหญิงต้องออกมาเล่าแจ้งแถลงไขว่า คลิปนี้ทำขึ้นเพื่อโปรโมตสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง และเป็นแค่เรื่องขบขันสำหรับวันสิ้นปีเท่านั้นเอง
แม้กระนั้นก็ยังมีผู้คนไม่น้อยที่เชื่อถือเรื่องวันสิ้นโลกอย่างจริงจัง อย่างเช่นชาวบ้านในรัสเซียที่แห่กักตุนพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาหารกระป๋อง และไฟฉายกันอย่างจ้าละหวั่น ส่วนพ่อค้าหัวใสบางคนก็ผุดชุดเครื่องมือรับวันสิ้นโลกออกมาวางจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย ปลากระป๋อง ไม้ขีดไฟ เทียนไข สบู่ เชือกยา ผ้าพันแผล สมุดโน้ต และแน่นอนว่าต้องมี “วอดก้า” เหล้าดังของรัสเซียรวมอยู่ด้วย
เมื่อไม่นานนี้ที่ฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดยอดเขาบูการาชบนเทือกเขาพิเรนีส หลังจากพวกคลั่งลัทธิวันสิ้นโลกปล่อยข่าวว่า ยอดเขาแห่งนี้จะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เหลืออยู่หลังจากโลกถึงกาลอวสาน และยังมีพ่อค้าหัวใสที่คิดโก่งราคาที่พักในช่วงที่ประชาชนกำลังตื่นข่าวลือโลกแตกด้วย
คนที่เชื่อเรื่องนี้บอกว่า ยอดเขาบูการาชคือที่จอดยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตจากนอกพิภพจะเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโลกอย่างเงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ภูเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังว่า เมื่อเอเลียนออกเดินทาง พวกมันจะพามนุษย์ผู้โชคดีบางส่วนกลับไปดาวแม่ด้วย
“นาซา” ยืนยัน 21-12-2012 โลกไม่แตก
เดวิด มอร์ริสัน นักชีววิทยาดาราศาสตร์จากองค์การนาซาเปิดเผยว่า เขาได้รับอีเมล์และจดหมายหลายฉบับจากผู้ที่ผวาข่าวลือวันโลกแตก ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน บางรายถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ และถึงขั้นคิดปลิดชีพตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่เห็นวาระสุดท้ายของโลก
นาซา ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงผ่านเว็บไซต์เกี่ยวกับสาเหตุที่โลกจะยังไม่แตกภายในวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 นี้อย่างแน่นอน พร้อมอธิบายด้วยว่า ข่าวลือวันสิ้นโลกเกิดจากการตีความปฏิทินของชาวมายาผิดพลาด
นอกจากนี้ ยังมีคำกล่าวอ้างที่ว่า ดาวเคราะห์ไนบิรูซึ่งค้นพบโดยชาวสุเมเรียนจะพุ่งชนโลกในวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ซึ่งต้นตอของข่าวนี้เชื่อมโยงไปถึงงานเขียนของ เซคาเรีย ซิตชิน ชาวอาเซอร์ไบจาน เมื่อปี 1976 ที่ว่า เขาพบและแปลเอกสารของชาวสุเมเรียนเกี่ยวกับดาวเคราะห์ปริศนาดวงนี้ ทว่า ซิตชิน ก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2010
นักวิทยาศาสตร์นาซายืนยันว่า ไม่มีดาวเคราะห์ไนบิรูอยู่ในจักรวาล เพราะหาก ไนบิรู หรือ แพลเน็ตเอ็กซ์ มีอยู่จริงและกำลังจะพุ่งชนโลก นักดาราศาสตร์ก็จะต้องสืบพบตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และขณะนี้ก็ต้องสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนข่าวลือที่ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะกลับทิศอย่างกะทันหัน หรือโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่หลุมดำ ณ ศูนย์กลางทางช้างเผือก ก็ไม่มีมูลความจริงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่น่าหวาดหวั่นและจะเกิดขึ้นจริงแน่นอนก็คือ “พายุสุริยะ” ซึ่งเกิดจากพลังงานแม่เหล็กในดวงอาทิตย์ถูกสะสมไว้ในปริมาณมหาศาลจนปะทุออกมาเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยมวลความร้อนขนาดใหญ่จากโคโรนา หรือเส้นรัศมีรอบวงกลมสีดำที่อยู่ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ออกมาสู่จักรวาล
ดร.สมิทธ ธรรมสโรจน์ ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า วันที่ 21 ธันวาคมนี้จะเป็นวันครบกำหนดการโคจรของพายุสุริยะที่เกิดขึ้นทุก ๆ 11 ปี ซึ่งอาจมีการพัดพาเอาพลังงานขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่โลก และส่งผลกระทบต่อแกนของโลกด้วย
แม้จะยังไม่มีรายงานว่า พายุสุริยะสามารถก่ออันตรายต่อร่างกายของมนุษย์หรือไม่ แต่หากพลังงานมหาศาลเหล่านั้นพุ่งมากระทบผิวโลก ก็อาจทำให้เปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างฉับพลันจนเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ หรือหากตกกระทบมหาสมุทรก็อาจเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลและคลื่นสึนามิได้
ข่าวลือทั้งหลายคงจะได้รับการพิสูจน์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทว่าวันนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตรียมพร้อมรับเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้คุ้มค่าที่สุด เมื่อนั้นต่อให้โลกแตกสลายไปก็คงไม่มีคำว่า “เสียดาย”.
ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกอยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน ชนเผ่าแอสเท็กซ์ทางตอนกลางของเม็กซิโกมีความเชื่อว่า ทุกๆ 52 ปีดวงอาทิตย์จะหยุดขึ้นทางทิศตะวันออก ดังนั้นจึงเกิดพิธีบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์เพื่อวิงวอนให้สรรพสิ่งในจักรวาลยังคงดำเนินต่อไปตามวิถีของมัน
คัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ก็เล่าถึงเหตุการณ์วันสิ้นโลกไว้ในพระวิวรณ์ (Revelation) ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในพันธสัญญาใหม่ โดยกล่าวถึงเหตุร้ายและความทุกข์เข็ญต่างๆที่จะเกิดในช่วงสิ้นยุค และการเสด็จฯกลับมายังโลกของพระเยซู ส่วนศาสนาอิสลามก็มีคำสอนเรื่องวันพิพากษาหรือ “วันกิยามะห์” ซึ่งเป็นวันแห่งความโกลาหลที่จะเกิดไฟประลัยกัลป์ไล่ต้อนมนุษย์ให้ไปรวมอยู่ที่เดียวกัน
เมื่อเอ่ยถึงข่าววันสิ้นโลกในปี 2012 สิ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางที่สุดกลับกลายเป็นปฏิทินของชาวมายาโบราณ ซึ่งระบุวันสิ้นสุดแห่งกาลเวลาไว้ตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 รวมถึงคำทำนายจากจารึกที่พบในอุทยานแห่งชาติ Tortuguero ในเม็กซิโก ซึ่งเชื่อว่าผู้ปกครองอาณาจักรมายาที่กำลังพ่ายสงครามเป็นผู้เขียนทิ้งไว้ จารึกนั้นระบุว่า ความพ่ายแพ้ของนักรบมายาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนที่วันเวลาจะสิ้นสุดลงในปี 2012
นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า คำทำนายของชนเผ่ามายาถูกตีความคลาดเคลื่อนไปมาก และการสิ้นยุคในความเชื่อของชาวมายานั้นก็ไม่ได้หมายถึงวันที่โลกจะดับสูญ เป็นแต่เพียงจุดสิ้นสุดของรอบปฏิทินซึ่งกินเวลาประมาณ 5,000 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่เท่านั้น
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดแนวภัยพิบัติหลายเรื่องก็ได้แนวคิดมาจากความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เช่น ภาพยนตร์ “2012 Doomsday” โดยผู้กำกับ โรแลนด์ เอมเมอริช รวมไปถึงหนังสือ “The Mayan Testament” ของ สตีฟ แอลเทน ที่ว่าด้วยความเชื่อและคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกชองชาวมายา
ประเทศแถบเมโสอเมริกา เช่น เม็กซิโก, เบลีซ, กัวเตมาลา, เอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส ต่างเตรียมฉลองการสิ้นสุดของปฏิทินมายาในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลายล้านคนหลั่งไหลเข้าไปสัมผัสบรรยากาศของงาน ซึ่งจะมีทั้งการจุดพลุดอกไม้ไฟ, คอนเสิร์ต และการแสดงอื่นๆ ตามโบราณสถานของชาวมายากว่า 30 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ลูกหลานชาวมายากลับไม่ยินดีที่ความเชื่อของบรรพบุรุษถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฟิลิเป โกเมซ ผู้นำสหพันธ์ลูกหลานชาวมายาในกัวเตมาลา ออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลและบริษัททัวร์พยายามบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับปฏิทินมายา และฉวยโอกาสหากินกับคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลก ซึ่งสำหรับชาวมายาเองแล้วเชื่อว่าปี 2012 จะเกิดเพียง “ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับตัวบุคคล, ครอบครัว และชุมชน เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” มิใช่วันสิ้นโลกตามที่คนทั่วไปเข้าใจ
ไม่กี่สัปดาห์ทีผ่านมายังมีการปล่อยคลิปล้อเลียนความยาว 50 วินาที ซึ่งนายกรัฐมนตรี จูเลีย กิลลาร์ด ผู้นำหญิงแห่งเมืองจิงโจ้ ออกมาเอ่ยเตือนประชาชนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า ซอมบี้กินคนและปีศาจร้ายจากอเวจีอาจถูกปลดปล่อยในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ คลิปดังกล่าวกลายเป็นที่ฮือฮาไม่น้อยหลังถูกโพสต์ลงบนยูทิวบ์ จนโฆษกของนายกฯหญิงต้องออกมาเล่าแจ้งแถลงไขว่า คลิปนี้ทำขึ้นเพื่อโปรโมตสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง และเป็นแค่เรื่องขบขันสำหรับวันสิ้นปีเท่านั้นเอง
แม้กระนั้นก็ยังมีผู้คนไม่น้อยที่เชื่อถือเรื่องวันสิ้นโลกอย่างจริงจัง อย่างเช่นชาวบ้านในรัสเซียที่แห่กักตุนพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาหารกระป๋อง และไฟฉายกันอย่างจ้าละหวั่น ส่วนพ่อค้าหัวใสบางคนก็ผุดชุดเครื่องมือรับวันสิ้นโลกออกมาวางจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย ปลากระป๋อง ไม้ขีดไฟ เทียนไข สบู่ เชือกยา ผ้าพันแผล สมุดโน้ต และแน่นอนว่าต้องมี “วอดก้า” เหล้าดังของรัสเซียรวมอยู่ด้วย
เมื่อไม่นานนี้ที่ฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดยอดเขาบูการาชบนเทือกเขาพิเรนีส หลังจากพวกคลั่งลัทธิวันสิ้นโลกปล่อยข่าวว่า ยอดเขาแห่งนี้จะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เหลืออยู่หลังจากโลกถึงกาลอวสาน และยังมีพ่อค้าหัวใสที่คิดโก่งราคาที่พักในช่วงที่ประชาชนกำลังตื่นข่าวลือโลกแตกด้วย
คนที่เชื่อเรื่องนี้บอกว่า ยอดเขาบูการาชคือที่จอดยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตจากนอกพิภพจะเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโลกอย่างเงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ภูเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังว่า เมื่อเอเลียนออกเดินทาง พวกมันจะพามนุษย์ผู้โชคดีบางส่วนกลับไปดาวแม่ด้วย
“นาซา” ยืนยัน 21-12-2012 โลกไม่แตก
เดวิด มอร์ริสัน นักชีววิทยาดาราศาสตร์จากองค์การนาซาเปิดเผยว่า เขาได้รับอีเมล์และจดหมายหลายฉบับจากผู้ที่ผวาข่าวลือวันโลกแตก ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน บางรายถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ และถึงขั้นคิดปลิดชีพตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่เห็นวาระสุดท้ายของโลก
นาซา ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงผ่านเว็บไซต์เกี่ยวกับสาเหตุที่โลกจะยังไม่แตกภายในวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 นี้อย่างแน่นอน พร้อมอธิบายด้วยว่า ข่าวลือวันสิ้นโลกเกิดจากการตีความปฏิทินของชาวมายาผิดพลาด
นอกจากนี้ ยังมีคำกล่าวอ้างที่ว่า ดาวเคราะห์ไนบิรูซึ่งค้นพบโดยชาวสุเมเรียนจะพุ่งชนโลกในวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 ซึ่งต้นตอของข่าวนี้เชื่อมโยงไปถึงงานเขียนของ เซคาเรีย ซิตชิน ชาวอาเซอร์ไบจาน เมื่อปี 1976 ที่ว่า เขาพบและแปลเอกสารของชาวสุเมเรียนเกี่ยวกับดาวเคราะห์ปริศนาดวงนี้ ทว่า ซิตชิน ก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2010
นักวิทยาศาสตร์นาซายืนยันว่า ไม่มีดาวเคราะห์ไนบิรูอยู่ในจักรวาล เพราะหาก ไนบิรู หรือ แพลเน็ตเอ็กซ์ มีอยู่จริงและกำลังจะพุ่งชนโลก นักดาราศาสตร์ก็จะต้องสืบพบตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และขณะนี้ก็ต้องสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนข่าวลือที่ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะกลับทิศอย่างกะทันหัน หรือโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่หลุมดำ ณ ศูนย์กลางทางช้างเผือก ก็ไม่มีมูลความจริงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่น่าหวาดหวั่นและจะเกิดขึ้นจริงแน่นอนก็คือ “พายุสุริยะ” ซึ่งเกิดจากพลังงานแม่เหล็กในดวงอาทิตย์ถูกสะสมไว้ในปริมาณมหาศาลจนปะทุออกมาเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยมวลความร้อนขนาดใหญ่จากโคโรนา หรือเส้นรัศมีรอบวงกลมสีดำที่อยู่ชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ ออกมาสู่จักรวาล
ดร.สมิทธ ธรรมสโรจน์ ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า วันที่ 21 ธันวาคมนี้จะเป็นวันครบกำหนดการโคจรของพายุสุริยะที่เกิดขึ้นทุก ๆ 11 ปี ซึ่งอาจมีการพัดพาเอาพลังงานขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่โลก และส่งผลกระทบต่อแกนของโลกด้วย
แม้จะยังไม่มีรายงานว่า พายุสุริยะสามารถก่ออันตรายต่อร่างกายของมนุษย์หรือไม่ แต่หากพลังงานมหาศาลเหล่านั้นพุ่งมากระทบผิวโลก ก็อาจทำให้เปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างฉับพลันจนเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ หรือหากตกกระทบมหาสมุทรก็อาจเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลและคลื่นสึนามิได้
ข่าวลือทั้งหลายคงจะได้รับการพิสูจน์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทว่าวันนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตรียมพร้อมรับเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้คุ้มค่าที่สุด เมื่อนั้นต่อให้โลกแตกสลายไปก็คงไม่มีคำว่า “เสียดาย”.