xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำหญิงไม่ช่วยลด “คอร์รัปชัน” แค่กล้าเสี่ยงน้อยกว่า-กลัวถูกจับได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย หนึ่งในสตรีที่อยู่ในแวดวงการเมือง
เอเจนซี - แม้มีคนจำนวนมากเชื่อว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความยุติธรรมกว่าผู้ชาย อีกทั้งมีผลวิจัยไม่ใช่น้อยซึ่งบ่งชี้ว่า การที่สตรีขึ้นครองอำนาจอาจช่วยลดทอนปัญหาคอร์รัปชันได้ แต่งานศึกษาหลายชิ้นตั้งข้อสังเกตว่า ความเชื่อมโยงระหว่างเพศภาวะกับการทุจริตนั้นซับซ้อนกว่าที่คาดคิดกัน เพราะจริงๆ แล้วหญิงก็ไม่ได้โลภน้อยกว่าชาย เพียงแต่กล้าเสี่ยงน้อยกว่าเพราะกลัวถูกจับได้ โดยเฉพาะสำหรับระบบการเมืองแบบเปิดในปัจจุบันที่จะต้องมีความโปร่งใสกันมากขึ้น

เมลันนี เวอร์เวียร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯผู้รับผิดชอบเรื่องปัญหาสตรีทั่วโลก กล่าวฟันธงว่า การมีผู้หญิงในแวดวงการเมืองมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน

กระนั้นก็มีหลักฐานหลายๆ อย่าง ซึ่งดูเหมือนสนับสนุนทัศนะมุมมองที่ว่า การมีผู้หญิงในหน่วยงานสาธารณะมากขึ้น ช่วยปรับปรุงยกระดับคุณภาพของรัฐบาลและปัญหาคอร์รัปชั่นก็เบาบางลง

ตัวอย่างเช่นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ผลศึกษาของซาบรินา คาริม นักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยเอมอรี สหรัฐฯ พบว่า ความคิดเห็นของสังคมที่ว่าการติดสินบนเป็นปัญหาใหญ่ในหมู่ตำรวจจราจร ได้ลดลงมาจาก 14 ปีที่แล้ว ภายหลังทางการส่งตำรวจจราจรหญิง 2,500 คนทำหน้าที่บนท้องถนน

ผลสำรวจอีกชิ้นระบุว่า ประชาชน 86% รับรองผลงานของจราจรหญิง ขณะที่ในมุมมองของตำรวจหญิงเองนั้น 95% คิดว่าการมีตำรวจหญิงช่วยลดการทุจริต และ 67% เชื่อว่าผู้หญิงโกงกินน้อยกว่าผู้ชาย

ที่อินเดีย นับจากปี 1993 มีการกันที่นั่ง 30% ในสภาหมู่บ้านไว้ให้ผู้หญิง ซึ่งรายงานพัฒนาการทั่วโลกของเวิลด์แบงก์ประจำปีนี้ยกย่องว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้มีการจัดหาน้ำสะอาด ระบบสุขาภิบาล โรงเรียน ฯลฯ เข้าสู่หมู่บ้านต่างๆ เพิ่มขึ้น และการทุจริตลดลง โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่มีผู้หญิงเป็นผู้ใหญ่บ้าน

นักวิจัยยังพบว่า เมื่อผู้ชายผูกขาดอำนาจ มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างถนน ซึ่งมีการทุจริตแพร่หลายกว่าการสร้างโรงเรียนหรือคลินิก

มาห์นาซ อัฟกามิ อดีตรัฐมนตรีกิจการสตรีอิหร่านในช่วงปี 1975-1978 และปัจจุบันเป็นประธานวีเมนส์ เลิร์นนิ่ง พาร์ตเนอร์ชิป ศูนย์ฝึกอบรมและให้การสนับสนุนผู้หญิงในมลรัฐแมริแลนด์, สหรัฐฯ เชื่อว่า การเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นนั้นส่งผลอย่างมากต่อการยกระดับคุณภาพของรัฐบาล

ทั้งหมดนี้ตอกย้ำผลศึกษาของธนาคารโลกในปี 1999 ที่พบว่า การมีผู้หญิงในหน่วยงานสาธารณะเหนือระดับ 10.9% ขึ้นไปนั้น ทุก 1% ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้คอร์รัปชันลดลง 10%

ศรี มุลยานี อินทราวตี ขุนคลังหญิงคนแรกของอินโดนีเซียที่ขึ้นชื่อว่า เป็นนักปฏิรูปที่แข็งแกร่ง เห็นด้วยว่า การมีผู้หญิงในหน่วยงานสาธารณะในระดับรากหญ้าอาจส่งผลอย่างมากต่อวิธีการจัดสรรทรัพยากร เนื่องจากผู้หญิงคำนึงถึงสวัสดิการของเด็กและการมีอาหารเพียงพอสำหรับครอบครัว ขณะที่ผู้ชายใส่ใจต่อความต้องการของส่วนรวมน้อยกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

อย่างไรก็ตาม สำหรับระดับประเทศนั้น อินทราวตีและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ กล่าวว่า การมีผู้หญิงในวงจรอำนาจมากขึ้น ไม่ได้ส่งผลใดๆ อย่างชัดเจน และเป็นการง่ายเกินไปที่จะสรุปว่า ผู้หญิงทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลระดับชาติสะอาดหมดจด

จากข้อมูลของสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ (อินเตอร์-พาร์เลียเมนทารี ยูเนียน) ปัจจุบันมีผู้หญิงดำรงตำแหน่งในรัฐสภาระดับประเทศสูงสุดถึง 20.2% คิดเป็นกว่าสองเท่าตัวของปี 1987 กระนั้น ปัญหาคอร์รัปชันก็ไม่ได้ลดลงน้อยมากมายอะไร

ผลสำรวจใน 140 ประเทศที่จัดทำโดยแกลลัปและเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤษภาคมพบว่า ผู้ใหญ่ 2 ใน 3 ทั่วโลกเชื่อว่า การคอร์รัปชันแพร่หลายในวงการธุรกิจและในประเทศของตน เช่นเดียวกัน ดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาลของธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า ประเทศที่มีพัฒนาการในการแก้ปัญหาการทุจริตนั้นมีจำนวนพอๆ กับประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นชุกชุมขึ้น

เฮเลน คลาร์ก ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์มา 9 ปี และเป็นผู้หญิงคนแรกที่รับผิดชอบโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UN Development Program) ขานรับว่า ไม่มีข้อพิสูจน์ว่า ผู้หญิงคอร์รัปชันน้อยกว่าผู้ชาย แต่ความซื่อสัตย์และแนวทางในสังคมน่าจะมีบทบาทมากกว่าโอกาสและปัจจัยเรื่องเพศภาวะ

รายงานฉบับใหม่ที่มีชื่อว่า “Fairer Sex or Purity Myth?” (สตรีคือเพศที่ให้ความเป็นธรรมมากขึ้นหรือเป็นเพียงมายาของความบริสุทธิผุดผ่อง) โดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไรซ์ และมหาวิทยาลัยเอมอรี สนับสนุนแนวคิดที่ว่า โครงสร้างสถาบันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ขณะที่การที่ผู้หญิงขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองเป็นผลพวงตามมา

รายงานฉบับนี้พบว่า ในระบอบเผด็จการที่ครอบงำโดยผู้ชาย การมีผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นส่งผลที่สามารถวัดค่าได้ในเรื่องคอร์รัปชั่นน้อยมาก แต่ในระบบการเมืองแบบเปิดที่เป็นประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงจะเห็นได้ชัดเจนกว่า

นักวิจัยคาดว่า ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากผู้หญิงกล้าเสี่ยงน้อยกว่า โดยอิงกับผลศึกษาพฤติกรรมสองฉบับระหว่างปี 2003-2008 ที่ชี้ว่า ผู้หญิงพร้อมรับสินบนเท่าผู้ชาย แต่ระแวดระวังมากกว่าว่าอาจถูกจับได้

ในระบอบเผด็จการนั้น ผู้หญิงมีแนวโน้มขึ้นสู่อำนาจจากการอุปถัมภ์ของผู้ชาย และถ้าคอร์รัปชันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ มีแนวโน้มน้อยที่ผู้หญิงจะกล้าเปิดโปงเนื่องจากพวกเธอกลัวสูญเสียตำแหน่ง

ตรงกันข้ามกับในระบบประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง ความเสี่ยงในการถูกจับได้มีมากขึ้น มิหนำซ้ำระบบกฎหมายยังทำงานได้ดีกว่า และประชาชนมีแนวโน้มใช้การเลือกตั้งลงโทษนักการเมืองโกงชาติ ด้วยเหตุนี้เอง เนื่องจากพวกเธอมีความโน้มเอียงในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ผู้หญิงจึงจะระมัดระวังมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น