(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Bo: political implications of a non-political crime
By Francesco Sisci
11/10/2012
การพิจารณาคดีความผิดของ “แก๊งสี่คน” ที่มีชื่อเหม็นโฉ่ กับกรณีของ “ป๋อ ซีไหล” ทำท่าว่าจะมีอะไรคล้ายๆ กันอยู่มาก ทว่าข้อที่แตกต่างและก็เป็นข้อที่มีน้ำหนักมากที่สุดก็คือ อดีตเลขาธิการพรรคสาขามหานครฉงชิ่ง ถูกถอดออกจากอำนาจเนื่องจากกระทำความผิดในกรณีพัวพันกับคดีฆาตกรรมธรรมดาๆ ข้อเท็จจริงอันโดดเด่นเช่นนี้ทำให้ผลที่เกิดตามมาเป็นที่กระจ่างแจ่มแจ้งมากกว่าในคดี “แก๊งสี่คน” และนี่เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างถนัดชัดเจน แม้กระทั่งสำหรับคนที่เป็นพรรคพวกของป๋อ ตลอดจนคนที่เห็นดีเห็นงามกับการที่เขารื้อฟื้นแนวความคิดแบบเหมา เจ๋อตง ขึ้นมาใหม่
ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีทีเดียวในการนำเอา “แก๊งสี่คน” ที่มีชื่อเหม็นโฉ่ ขึ้นพิจารณาคดีในศาลด้วยข้อหาความผิดพลาดอันเลวร้ายที่สุดของยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ใช้เวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้นก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดีอาญาต่อ ป๋อ ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขามหานครฉงชิ่ง
สมาชิกทั้ง 4 ในแก๊งสี่คน (ประกอบด้วย เจียง ชิง, หวาง หงเหวิน, จาง ชุนเฉียว, และ เหยา เหวินหยวน) ถูกจับกุมในปี 1976 ประมาณ 1 เดือนภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของ เหมา เจ๋อตง ขณะที่ ป๋อ ถูกจับกุมในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และก็คล้ายๆ กันห่างประมาณ 1 เดือนหลังจากที่ หวัง ลี่จิว์น ผู้บัญชาการตำรวจมหานครฉงชิ่ง พยายามไปขอลี้ภัยในสถานกงสุลสหรัฐฯประจำเมืองเฉิงตู การไต่สวนพิจารณาคดีของแก๊งสี่คน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ ป๋อ ต่างก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของการใช้อำนาจในทางมิชอบหรือการทุจริตคอร์รัปชั่นธรรมดาๆ อีกทั้งชุดเหตุการณ์ทั้งสองกรณีนี้ต่างก็มีความหมายทางการเมืองอันใหญ่หลวงต่ออนาคตของประเทศจีน
ความแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาที่ใช้เพื่อเตรียมการสำหรับการพิจารณาคดีในชั้นศาลนี้ ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีทีเดียวกว่าที่คณะผู้นำจะบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับการนำเอาสมาชิกแก๊งสี่คนมาไต่สวนในศาลอย่างเปิดเผย ทั้งนี้ต้องรอคอยให้ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้รับการแต่งตั้งกลับมาเป็นผู้นำคนสำคัญสูงสุดอีกรอบหนึ่งเมื่อสิ้นปี 1978 และ ฮว่า กว๋อเฟิง บุคคลที่ เหมา ต้องการให้เป็นทายาทของเขา ถูกโล๊ะออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรคในปี 1980 และปี 1981 ตามลำดับ
ในช่วงเวลาหลายๆ เดือนภายหลังการจับกุมคุมขัง ป๋อ ไม่มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอย่างชนิดเกินคาดหมายใดๆ บังเกิดขึ้นเลย ยกเว้นแต่กระบวนการเปลี่ยนถ่ายคณะผู้นำซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มีการวางแผนเอาไว้นานแล้ว ถึงแม้สิ่งนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่การพิจารณาคดีของเขามีความเป็นไปได้ที่จะเปิดฉากขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการเปิดประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งกำหนดเอาไว้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน
ถึงแม้มีความละม้ายคล้ายคลึงกันในเรื่องเงาทะมึนของการเมืองที่ทอดอยู่เหนือการพิจารณาคดีทั้ง 2 คดีนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอย่างชัดแจ้งระหว่างเหตุการณ์ทั้ง 2 พวกแก๊งสี่คนลงมือกระทำสิ่งที่พวกเขากระทำไปในท่ามกลางกระแสความบ้าระห่ำแห่งการปฏิวัติ ส่วนสำหรับ ป๋อ ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวทางการปฏิวัติใดๆ ทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องของอาชญากรรมที่กระทำเพียงครั้งเดียวแต่เต็มไปด้วยความเลวร้ายและยากแก่การอธิบาย นั่นก็คือ การฆ่าพลเมืองชาวอังกฤษผู้หนึ่งโดยฝีมือภรรยาของ ป๋อ
ความแตกต่างทางการเมืองระหว่างคดีทั้ง 2 ก็ใหญ่โตมโหฬารมาก แก๊งสี่คนสามารถที่จะกล่าวอ้าง ดังที่พวกเขากระทำอยู่ ว่าพวกเขากำลังทำตามคำสั่งของ เหมา เรื่องนี้ทำให้พวกเขามีเกราะป้องกันตัวในทางการเมือง ทว่า ป๋อ ไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้ เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของใคร และถ้าหากเขาขืนยืนยันที่จะระบุออกมาให้ได้ว่าเขาทำตามคำสั่งของใคร มันก็จะไม่ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้ ป๋อ เลย ตรงกันข้าม มันกลับจะกลายเป็นการดึงลากเอาผู้พิทักษ์คุ้มครองเขาให้เข้ามาพัวพันในกรณีอื้อฉาวนี้ด้วย
ความผิดพลาดที่กลายเป็นจุดตายของ ป๋อ ซึ่งทำให้เขาจะต้องถูกพิจารณาคดีและถูกลงโทษนั้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องพัวพันกับการเมืองเลย มันเป็นเรื่องที่เขาเกี่ยวข้องพัวพันกับการลอบสังหารที่มีการไตร่ตรองไว้ก่อนธรรมดาๆ ถึงแม้แรงจูงใจของการฆาตกรรมนี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่าง
ตัวเหตุการณ์เองนั้นกลับชัดเจนและเกินกว่าที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจหรือให้อภัยได้ นีล เฮย์วูด ถูกเรียกตัวจากต่างประเทศให้เดินทางมายังจีน และจากนั้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกสังหารโดย กู่ ไคไหล ตัว ป๋อ เองได้รับแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และแทนที่จะเริ่มกระบวนการดำเนินคดีกับ กู่ เขากลับพยายามที่จะปกปิดอำพรางคดี โดยพยายามขอความช่วยเหลือจาก หวัง ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจ
เราสามารถพูดออกมาอย่างมั่นใจว่า ป๋อ มีความผิดฐานปกปิดอำพรางการฆาตกรรม ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถคิดต่อไปด้วยว่า กู่ อาจจะไม่สังหารเฮย์วูดหรอก ถ้าเธอไม่มั่นใจว่าเธอสามารถขอความช่วยเหลือจากสามีของเธอได้ (และ ป๋อ ก็พยายามช่วยเหลือเธอจริงๆ ด้วย) ส่วน หวัง ก็อาจจะไม่ต้องหลบหนีไปยังสถานกงสุลสหรัฐฯ ถ้าหาก ป๋อ ไม่ได้พยายามที่จะอำพรางคดี ด้วยเหตุนี้ ป๋อ จึงอาจถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานทำให้คดีฆาตกรรมเฮย์วูดยิ่งสลับซับซ้อน หรือบางทีเขาอาจจะมีส่วนทั้งในขั้นของการวางแผนและในขั้นของการปฏิบัติการฆาตกรรมด้วยซ้ำ และแน่นอนทีเดียวว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ หวัง เผ่นหนีไปยังสถานกงสุล
เมื่อมองจากแง่มุมนี้ ความผิดของเขาสามารถพิจารณาได้ว่าหนักหน่วงสาหัสยิ่งกว่าความผิดของภรรยาของเขาด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่มี ป๋อ สักคนหนึ่ง มันก็อาจจะไม่เกิดการฆาตกรรมขึ้นมา และแน่นอนทีเดียวว่าจะไม่มีเรื่องการพยายามหลบหนีใดๆ ขึ้นมาด้วย ถ้าหากเขาถูกตั้งข้อหาเหล่านี้ในอเมริกา เขาจะถูกตัดสินลงโทษหนักหน่วงขนาดไหน? มันอาจจะเป็นโทษประหารชีวิตก็ได้
อาชญากรรมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง มันจะกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปก็ต่อเมื่อเฮย์วูดเกิดกลายเป็นสปายสายลับ ทว่านั่นก็มีแต่จะยิ่งทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อเราพิจารณาภาพรวมที่ว่า ในเวลานั้นป๋อกำลังเฉียดใกล้ที่จะกลายเป็น 1 ในบุคคลทรงอำนาจที่สุดในประเทศจีน ซึ่งก็หมายถึงในโลกด้วยนั่นเอง
องค์ประกอบอื่นๆ จำนวนมากมายที่เวลานี้กำลังปรากฏออกมาให้เห็นในประเทศจีน สามารถที่จะพิจารณาได้ว่าเป็นเพียงภาวะแวดล้อมที่ทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายลง ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่มีผลในทางตัดสินชี้ขาด มีรายงานข่าวว่า ป๋อ ได้ยึดทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านหยวน (32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และในบรรดาบุคคลผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของฉงชิ่ง 20 คนแรก เขาได้เข้าจับกุมตัวถึง 17 คน ความผิดในเรื่องนี้อาจจะเข้าข่ายเป็นคดีอาญาหรือเป็นเรื่องการเมืองก็ได้ทั้งสองอย่าง เขาอนุมัติเห็นชอบให้มีการใช้วิธีทรมานนักโทษอย่างกว้างขวาง ในศูนย์กักกันใต้ดินที่มีกันอยู่หลายสิบแห่ง นี่เป็นเรื่องอาญาหรือเรื่องการเมือง? มันก็อาจจะเป็นได้ทั้งสองอย่างอีกนั่นแหละ เขาเอาสินทรัพย์เงินทองบางส่วนที่ยึดมาได้เข้าพกเข้าห่อของเขาเอง และนำเอาส่วนที่เหลือมาแบ่งปันกันในหมู่พันธมิตรของเขา เรื่องนี้จะว่าอย่างไร? มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมหรือไม่ เนื่องจากประเทศจีนไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถ้าเรามององค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้โดยผ่านแว่นแห่งการฆาตกรรมเฮย์วูด เมื่อนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นเรื่องน่าชิงชัง และ ป๋อ ก็กลายเป็นรอยมลทินที่กำลังทำให้อะไรก็ตามและใครก็ตามที่ผูกพันกับเขา ต้องพลอยเปื้อนเปรอะไปด้วย
ความชัดเจนของประเด็น, อาชญากรรมที่น่าขยะแขยง, และผลทางการเมืองที่ติดตามมา เหล่านี้อาจเร่งรัดกระบวนการให้บรรลุถึงฉันทามติอย่างรวดเร็วในกรณีของ ป๋อ ขณะที่สำหรับคดีของแก๊งสี่คนแล้วมันแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้กระทำความผิดอาญาอย่างชัดเจนใดๆ แม้แต่คดีเดียว การไต่สวนพิจารณาคดีพวกเขาเป็นเพียงการรูดม่านปิดฉากทางการเมืองให้แก่ยุคสมัยหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นยุคสมัยที่น่ารังเกียจ
ข้อเท็จจริงที่ว่า อาชญากรรมและผลทางการเมืองในกรณีของ ป๋อ นั้น เป็นสิ่งที่โดดเด่นแจ่มแจ้ง อาจจะทำให้ผลพวงทางการเมืองที่ต่อเนื่องมา อยู่ในสภาพที่ชัดเจนมากกว่าในกรณีของแก๊งสี่คน เรื่องนี้ยังคงอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างใหญ่โตมากขึ้นและอย่างกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้นจากบรรดาผู้คนที่เป็นพรรคพวกของป๋อ หรือเป็นผู้ที่ให้ความสนับสนุนการที่เขารื้อฟื้นแนวความคิดแบบเหมา เจ๋อตง ขึ้นมาใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พัฒนาการทั้งหลายทั้งปวงที่ติดตามมา จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันจะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการที่จะเดินไปในทางไหนภายหลังการก่ออาชญากรรมของ ป๋อ แล้ว
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ อิล โซเล 24 โอเร (Il Sole 24 Ore) หนังสือพิมพ์รายวันในอิตาลี สามารถที่จะติดต่อเขาทางอีเมล์ได้ที่ fsisci@gmail
Bo: political implications of a non-political crime
By Francesco Sisci
11/10/2012
การพิจารณาคดีความผิดของ “แก๊งสี่คน” ที่มีชื่อเหม็นโฉ่ กับกรณีของ “ป๋อ ซีไหล” ทำท่าว่าจะมีอะไรคล้ายๆ กันอยู่มาก ทว่าข้อที่แตกต่างและก็เป็นข้อที่มีน้ำหนักมากที่สุดก็คือ อดีตเลขาธิการพรรคสาขามหานครฉงชิ่ง ถูกถอดออกจากอำนาจเนื่องจากกระทำความผิดในกรณีพัวพันกับคดีฆาตกรรมธรรมดาๆ ข้อเท็จจริงอันโดดเด่นเช่นนี้ทำให้ผลที่เกิดตามมาเป็นที่กระจ่างแจ่มแจ้งมากกว่าในคดี “แก๊งสี่คน” และนี่เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างถนัดชัดเจน แม้กระทั่งสำหรับคนที่เป็นพรรคพวกของป๋อ ตลอดจนคนที่เห็นดีเห็นงามกับการที่เขารื้อฟื้นแนวความคิดแบบเหมา เจ๋อตง ขึ้นมาใหม่
ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีทีเดียวในการนำเอา “แก๊งสี่คน” ที่มีชื่อเหม็นโฉ่ ขึ้นพิจารณาคดีในศาลด้วยข้อหาความผิดพลาดอันเลวร้ายที่สุดของยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ใช้เวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้นก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดีอาญาต่อ ป๋อ ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขามหานครฉงชิ่ง
สมาชิกทั้ง 4 ในแก๊งสี่คน (ประกอบด้วย เจียง ชิง, หวาง หงเหวิน, จาง ชุนเฉียว, และ เหยา เหวินหยวน) ถูกจับกุมในปี 1976 ประมาณ 1 เดือนภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของ เหมา เจ๋อตง ขณะที่ ป๋อ ถูกจับกุมในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และก็คล้ายๆ กันห่างประมาณ 1 เดือนหลังจากที่ หวัง ลี่จิว์น ผู้บัญชาการตำรวจมหานครฉงชิ่ง พยายามไปขอลี้ภัยในสถานกงสุลสหรัฐฯประจำเมืองเฉิงตู การไต่สวนพิจารณาคดีของแก๊งสี่คน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ ป๋อ ต่างก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของการใช้อำนาจในทางมิชอบหรือการทุจริตคอร์รัปชั่นธรรมดาๆ อีกทั้งชุดเหตุการณ์ทั้งสองกรณีนี้ต่างก็มีความหมายทางการเมืองอันใหญ่หลวงต่ออนาคตของประเทศจีน
ความแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาที่ใช้เพื่อเตรียมการสำหรับการพิจารณาคดีในชั้นศาลนี้ ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีทีเดียวกว่าที่คณะผู้นำจะบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับการนำเอาสมาชิกแก๊งสี่คนมาไต่สวนในศาลอย่างเปิดเผย ทั้งนี้ต้องรอคอยให้ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้รับการแต่งตั้งกลับมาเป็นผู้นำคนสำคัญสูงสุดอีกรอบหนึ่งเมื่อสิ้นปี 1978 และ ฮว่า กว๋อเฟิง บุคคลที่ เหมา ต้องการให้เป็นทายาทของเขา ถูกโล๊ะออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรคในปี 1980 และปี 1981 ตามลำดับ
ในช่วงเวลาหลายๆ เดือนภายหลังการจับกุมคุมขัง ป๋อ ไม่มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอย่างชนิดเกินคาดหมายใดๆ บังเกิดขึ้นเลย ยกเว้นแต่กระบวนการเปลี่ยนถ่ายคณะผู้นำซึ่งเป็นเรื่องที่ได้มีการวางแผนเอาไว้นานแล้ว ถึงแม้สิ่งนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่การพิจารณาคดีของเขามีความเป็นไปได้ที่จะเปิดฉากขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการเปิดประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งกำหนดเอาไว้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน
ถึงแม้มีความละม้ายคล้ายคลึงกันในเรื่องเงาทะมึนของการเมืองที่ทอดอยู่เหนือการพิจารณาคดีทั้ง 2 คดีนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอย่างชัดแจ้งระหว่างเหตุการณ์ทั้ง 2 พวกแก๊งสี่คนลงมือกระทำสิ่งที่พวกเขากระทำไปในท่ามกลางกระแสความบ้าระห่ำแห่งการปฏิวัติ ส่วนสำหรับ ป๋อ ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวทางการปฏิวัติใดๆ ทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องของอาชญากรรมที่กระทำเพียงครั้งเดียวแต่เต็มไปด้วยความเลวร้ายและยากแก่การอธิบาย นั่นก็คือ การฆ่าพลเมืองชาวอังกฤษผู้หนึ่งโดยฝีมือภรรยาของ ป๋อ
ความแตกต่างทางการเมืองระหว่างคดีทั้ง 2 ก็ใหญ่โตมโหฬารมาก แก๊งสี่คนสามารถที่จะกล่าวอ้าง ดังที่พวกเขากระทำอยู่ ว่าพวกเขากำลังทำตามคำสั่งของ เหมา เรื่องนี้ทำให้พวกเขามีเกราะป้องกันตัวในทางการเมือง ทว่า ป๋อ ไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้ เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของใคร และถ้าหากเขาขืนยืนยันที่จะระบุออกมาให้ได้ว่าเขาทำตามคำสั่งของใคร มันก็จะไม่ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้ ป๋อ เลย ตรงกันข้าม มันกลับจะกลายเป็นการดึงลากเอาผู้พิทักษ์คุ้มครองเขาให้เข้ามาพัวพันในกรณีอื้อฉาวนี้ด้วย
ความผิดพลาดที่กลายเป็นจุดตายของ ป๋อ ซึ่งทำให้เขาจะต้องถูกพิจารณาคดีและถูกลงโทษนั้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องพัวพันกับการเมืองเลย มันเป็นเรื่องที่เขาเกี่ยวข้องพัวพันกับการลอบสังหารที่มีการไตร่ตรองไว้ก่อนธรรมดาๆ ถึงแม้แรงจูงใจของการฆาตกรรมนี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่าง
ตัวเหตุการณ์เองนั้นกลับชัดเจนและเกินกว่าที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจหรือให้อภัยได้ นีล เฮย์วูด ถูกเรียกตัวจากต่างประเทศให้เดินทางมายังจีน และจากนั้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกสังหารโดย กู่ ไคไหล ตัว ป๋อ เองได้รับแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และแทนที่จะเริ่มกระบวนการดำเนินคดีกับ กู่ เขากลับพยายามที่จะปกปิดอำพรางคดี โดยพยายามขอความช่วยเหลือจาก หวัง ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจ
เราสามารถพูดออกมาอย่างมั่นใจว่า ป๋อ มีความผิดฐานปกปิดอำพรางการฆาตกรรม ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถคิดต่อไปด้วยว่า กู่ อาจจะไม่สังหารเฮย์วูดหรอก ถ้าเธอไม่มั่นใจว่าเธอสามารถขอความช่วยเหลือจากสามีของเธอได้ (และ ป๋อ ก็พยายามช่วยเหลือเธอจริงๆ ด้วย) ส่วน หวัง ก็อาจจะไม่ต้องหลบหนีไปยังสถานกงสุลสหรัฐฯ ถ้าหาก ป๋อ ไม่ได้พยายามที่จะอำพรางคดี ด้วยเหตุนี้ ป๋อ จึงอาจถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานทำให้คดีฆาตกรรมเฮย์วูดยิ่งสลับซับซ้อน หรือบางทีเขาอาจจะมีส่วนทั้งในขั้นของการวางแผนและในขั้นของการปฏิบัติการฆาตกรรมด้วยซ้ำ และแน่นอนทีเดียวว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ หวัง เผ่นหนีไปยังสถานกงสุล
เมื่อมองจากแง่มุมนี้ ความผิดของเขาสามารถพิจารณาได้ว่าหนักหน่วงสาหัสยิ่งกว่าความผิดของภรรยาของเขาด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่มี ป๋อ สักคนหนึ่ง มันก็อาจจะไม่เกิดการฆาตกรรมขึ้นมา และแน่นอนทีเดียวว่าจะไม่มีเรื่องการพยายามหลบหนีใดๆ ขึ้นมาด้วย ถ้าหากเขาถูกตั้งข้อหาเหล่านี้ในอเมริกา เขาจะถูกตัดสินลงโทษหนักหน่วงขนาดไหน? มันอาจจะเป็นโทษประหารชีวิตก็ได้
อาชญากรรมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง มันจะกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปก็ต่อเมื่อเฮย์วูดเกิดกลายเป็นสปายสายลับ ทว่านั่นก็มีแต่จะยิ่งทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อเราพิจารณาภาพรวมที่ว่า ในเวลานั้นป๋อกำลังเฉียดใกล้ที่จะกลายเป็น 1 ในบุคคลทรงอำนาจที่สุดในประเทศจีน ซึ่งก็หมายถึงในโลกด้วยนั่นเอง
องค์ประกอบอื่นๆ จำนวนมากมายที่เวลานี้กำลังปรากฏออกมาให้เห็นในประเทศจีน สามารถที่จะพิจารณาได้ว่าเป็นเพียงภาวะแวดล้อมที่ทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายลง ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่มีผลในทางตัดสินชี้ขาด มีรายงานข่าวว่า ป๋อ ได้ยึดทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านหยวน (32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และในบรรดาบุคคลผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของฉงชิ่ง 20 คนแรก เขาได้เข้าจับกุมตัวถึง 17 คน ความผิดในเรื่องนี้อาจจะเข้าข่ายเป็นคดีอาญาหรือเป็นเรื่องการเมืองก็ได้ทั้งสองอย่าง เขาอนุมัติเห็นชอบให้มีการใช้วิธีทรมานนักโทษอย่างกว้างขวาง ในศูนย์กักกันใต้ดินที่มีกันอยู่หลายสิบแห่ง นี่เป็นเรื่องอาญาหรือเรื่องการเมือง? มันก็อาจจะเป็นได้ทั้งสองอย่างอีกนั่นแหละ เขาเอาสินทรัพย์เงินทองบางส่วนที่ยึดมาได้เข้าพกเข้าห่อของเขาเอง และนำเอาส่วนที่เหลือมาแบ่งปันกันในหมู่พันธมิตรของเขา เรื่องนี้จะว่าอย่างไร? มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมหรือไม่ เนื่องจากประเทศจีนไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถ้าเรามององค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้โดยผ่านแว่นแห่งการฆาตกรรมเฮย์วูด เมื่อนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นเรื่องน่าชิงชัง และ ป๋อ ก็กลายเป็นรอยมลทินที่กำลังทำให้อะไรก็ตามและใครก็ตามที่ผูกพันกับเขา ต้องพลอยเปื้อนเปรอะไปด้วย
ความชัดเจนของประเด็น, อาชญากรรมที่น่าขยะแขยง, และผลทางการเมืองที่ติดตามมา เหล่านี้อาจเร่งรัดกระบวนการให้บรรลุถึงฉันทามติอย่างรวดเร็วในกรณีของ ป๋อ ขณะที่สำหรับคดีของแก๊งสี่คนแล้วมันแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้กระทำความผิดอาญาอย่างชัดเจนใดๆ แม้แต่คดีเดียว การไต่สวนพิจารณาคดีพวกเขาเป็นเพียงการรูดม่านปิดฉากทางการเมืองให้แก่ยุคสมัยหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นยุคสมัยที่น่ารังเกียจ
ข้อเท็จจริงที่ว่า อาชญากรรมและผลทางการเมืองในกรณีของ ป๋อ นั้น เป็นสิ่งที่โดดเด่นแจ่มแจ้ง อาจจะทำให้ผลพวงทางการเมืองที่ต่อเนื่องมา อยู่ในสภาพที่ชัดเจนมากกว่าในกรณีของแก๊งสี่คน เรื่องนี้ยังคงอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างใหญ่โตมากขึ้นและอย่างกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้นจากบรรดาผู้คนที่เป็นพรรคพวกของป๋อ หรือเป็นผู้ที่ให้ความสนับสนุนการที่เขารื้อฟื้นแนวความคิดแบบเหมา เจ๋อตง ขึ้นมาใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พัฒนาการทั้งหลายทั้งปวงที่ติดตามมา จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันจะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการที่จะเดินไปในทางไหนภายหลังการก่ออาชญากรรมของ ป๋อ แล้ว
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ อิล โซเล 24 โอเร (Il Sole 24 Ore) หนังสือพิมพ์รายวันในอิตาลี สามารถที่จะติดต่อเขาทางอีเมล์ได้ที่ fsisci@gmail