เอเอฟพี - รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2012 นี้ตกเป็นของสหภาพยุโรป องค์กรซึ่งประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่คงความน่าเชื่อถือด้วยการนำสันติภาพสู่ภูมิภาคยุโรป ซึ่งเคยแตกแยกกันเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้นานกว่า 60 ปีแล้ว
"สหภาพยุโรป และผู้บุกเบิกก่อนหน้าได้มีส่วนในการพัฒนาสันติภาพ และการปรองดอง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนในยุโรปมานานกว่า 6 ทศวรรษแล้ว" ธอร์ปเจิร์น จักแลนด์ ประธานคณะกรรมาธิการรางวัลโนเบลกล่าวในกรุงออสโล
"ตลอดช่วงระยะเวลา 70 ปี เยอรมนี และฝรั่งเศสต่อสู้กันในศึกสงคราม 3 ครั้ง แต่ทุกวันนี้ สงครามระหว่างเยอรมนี และฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้ นี่แสดงให้เห็นว่าศัตรูเมื่อครั้งประวัติศาสตร์สามารถกลายเป็นคู่หูใกล้ชิด ด้วยความพยายามที่มีเป้าหมายอันดี และการสร้างความเชื่อมั่นร่วมกันได้อย่างไร" เขาอธิบายถึงการตัดสินใจมอบรางวัลทรงคุณค่านี้ให้แก่อียู
ด้าน มาร์ติน ชูล์ซ ประธานรัฐสภายุโรป แสดงความรู้สึกผ่านทางทวิตเตอร์หลังทราบผลว่า "เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่อียูชนะรางวัลโนเบลสันติภาพ ความปรองดองคือสิ่งที่อียูเป็น นั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจได้"
เขายังอธิบายถึงความรู้สึกที่หลากหลายว่า "อียูเป็นโครงการพิเศษที่เปลี่ยนสงครามด้วยสันติ ความเกลียดชังด้วยความปรองดอง
ส่วน โฮเซ มานูเอล บาร์รอสโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปก็โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ว่า รางวัลโนเบลสันติภาพนี้ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่สำหรับพลเรือนทั้ง 500 ล้านคนในสหภาพยุโรป ก่อนงานแถลงข่าว ณ สำนักงานใหญ่ในกรุงบรัสเซลส์
อย่างไรก็ตาม รางวัลนี้ก็ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในเวลาที่ความสามัคคีของยุโปรกำลังเผชิญปัญหาที่น่ากังวลที่สุด ท่ามกลางความร้าวลึกระหว่างประเทศฝั่งใต้ที่จมดิ่งในวิกฤตหนี้สิน และประเทศฝั่งเหนือที่มั่งคั่งร่ำรวยกว่า อย่างเยอรมนี ซึ่งให้ความช่วยเหลืออย่างไม่เต็มใจนัก
อียูมีชัยเหนือผู้เข้าชิงรางวัลนี้ทั้งหมด 231 คนและองค์กร ในจำนวนนั้นนักต่อต้านชาวรัสเซีย และผู้นำศาสนาเพื่อการปรองดองระหว่างมุสลิมและชาวคริสต์ จากการตัดสินใจของคณะกรรมการอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยจะได้รับเงินรางวัล 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 10 ธันวาคม ณ กรุงออสโล
