รอยเตอร์ - สหรัฐฯ และอิสราเอลร่วมกันพัฒนาไวรัสคอมพิวเตอร์ “เฟลม” (Flame) เพื่อสืบข้อมูลข่าวกรองที่จะช่วยให้ตะวันตกสามารถชะลอความก้าวหน้าในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ รายงานเมื่อวานนี้ (19) โดยอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตะวันตกซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ
“เฟลม” เป็นมัลแวร์ที่ถูกออกแบบเพื่อระบุโครงข่ายและจับตาคอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่อิหร่าน โดยจะรวบรวมข้อมูลลับที่ช่วยให้สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ), สำนักงานสอบสวนกลาง (ซีไอเอ) และกองทัพอิสราเอล สามารถทำสงครามไซเบอร์ขัดขวางกิจกรรมนิวเคลียร์ของเตหะรานได้ ซึ่งโครงการที่ว่านี้ยังใช้หนอนคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “สตักซ์เน็ต” (Stuxnet) ซึ่งเคยสร้างความปั่นป่วนให้แก่โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านมาแล้ว
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไวรัสเฟลมขึ้นมาจริง
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เนื่องจากเฟลมเป็นไวรัสซึ่งทำหน้าที่ “รวบรวมข่าวกรอง” โดยมิได้ทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายศัตรู การพัฒนาไวรัสชนิดนี้จึงไม่ต้องผ่านการทบทวนนโยบายและข้อกฎหมายที่เข้มงวดของสหรัฐฯ เหมือนเช่นโครงการอาวุธไซเบอร์อื่นๆ
ซีไอเอ, เอ็นเอสเอ, เพนตากอน และสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้
เฟลม นับเป็นไวรัสเจาะข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่โลกเคยพบมา โดย 2 บริษัทด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ แคสเปอร์สกี แล็บ และไซแมนเท็ก คอร์ป ชี้ว่า โค้ดของไวรัสตัวนี้มีความเชื่อมโยงกับหนอนสตักซ์เน็ต ที่เชื่อกันว่าสหรัฐฯ และอิสราเอลเคยส่งไปโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อปี 2010