เอเจนซีส์/ ASTVผู้จัดการออนไลน์ - รัฐบาลซีเรียประกาศให้นักการทูตและเจ้าหน้าที่ตะวันตกหลายประเทศ รวมถึงตุรกี เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ วันนี้(5) ขณะที่ฝ่ายกบฎซีเรียก็ประกาศจะไม่เคารพข้อตกลงสันติภาพที่ โคฟี อันนัน เสนออีกต่อไป
“มีบางประเทศได้แจ้งต่อหัวหน้าคณะผู้แทนการทูตและสถานทูตของเราว่า พวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับในประเทศเหล่านั้น” กระทรวงต่างประเทศซีเรียระบุในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า ขณะนี้ดามัสกัสได้ประกาศให้ทูตสหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ตุรกี และอีกหลายประเทศ เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับซีเรียแล้ว
คำประกาศดังกล่าวยังครอบคลุมถึงทูตแคนาดา, อิตาลี และสเปนประจำกรุงดามัสกัส รวมถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตเบลเยียม, บัลแกเรีย และเยอรมนีด้วย
ถ้อยแถลงจากรัฐบาลซีเรียทิ้งท้ายว่า “ซีเรียยังคงเชื่อในความสำคัญของการเจรจา ซึ่งตั้งอยู่บนหลักแห่งความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกัน” และวิถีทางการทูตนั้นคือ “เครื่องมือที่จำเป็น” ในการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ
“เราหวังว่า ประเทศที่เริ่มใช้มาตรการเช่นนี้ก่อน จะยึดหลักการเดียวกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลับมาเป็นปกติตามเดิม”
หลายประเทศตะวันตกตัดสินใจขับไล่ทูตซีเรีย หลังเกิดการสังหารหมู่พลเรือนกว่า 100 ศพที่เมืองฮูลา ซึ่งถือเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่การลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ปะทุขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคม ปี 2011
ด้านโฆษกฝ่ายกบฎซีเรียก็แถลงวานนี้(4)ว่า จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพของ อันนัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติอีกต่อไป เพราะไม่สามารถยุติความรุนแรงได้จริง และจากวันนี้ฝ่ายกบฎจะเริ่มโจมตีกองกำลังของอัสซาดเพื่อปกป้องพลเมือง
“เราขอยกเลิกพันธะต่อข้อตกลงนี้ และตั้งแต่วันนั้น (1 มิ.ย.) เป็นต้นไป เราจะเริ่มปกป้องประชาชนของเราเอง” พันตรี ซามี อัล-เคอร์ดี โฆษกสภาทหารฝ่ายกบฎ ให้สัมภาษณ์ โดยอ้างถึงวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ฝ่ายกบฎขอให้ประธานาธิบดี อัสซาด ยุติความรุนแรงต่อพลเมือง
เคอร์ดี เผยด้วยว่า ฝ่ายกบฎต้องการให้ภารกิจสังเกตการณ์ของยูเอ็นเปลี่ยนไปเป็น “ภารกิจปกป้องสันติภาพ” และขอให้นานาชาติตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะประกาศเขตห้ามบินและพื้นที่กันชน เพื่อนำไปสู่การโค่นล้ม อัสซาด
“มีบางประเทศได้แจ้งต่อหัวหน้าคณะผู้แทนการทูตและสถานทูตของเราว่า พวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับในประเทศเหล่านั้น” กระทรวงต่างประเทศซีเรียระบุในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า ขณะนี้ดามัสกัสได้ประกาศให้ทูตสหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ตุรกี และอีกหลายประเทศ เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับซีเรียแล้ว
คำประกาศดังกล่าวยังครอบคลุมถึงทูตแคนาดา, อิตาลี และสเปนประจำกรุงดามัสกัส รวมถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตเบลเยียม, บัลแกเรีย และเยอรมนีด้วย
ถ้อยแถลงจากรัฐบาลซีเรียทิ้งท้ายว่า “ซีเรียยังคงเชื่อในความสำคัญของการเจรจา ซึ่งตั้งอยู่บนหลักแห่งความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกัน” และวิถีทางการทูตนั้นคือ “เครื่องมือที่จำเป็น” ในการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ
“เราหวังว่า ประเทศที่เริ่มใช้มาตรการเช่นนี้ก่อน จะยึดหลักการเดียวกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลับมาเป็นปกติตามเดิม”
หลายประเทศตะวันตกตัดสินใจขับไล่ทูตซีเรีย หลังเกิดการสังหารหมู่พลเรือนกว่า 100 ศพที่เมืองฮูลา ซึ่งถือเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่การลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ปะทุขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคม ปี 2011
ด้านโฆษกฝ่ายกบฎซีเรียก็แถลงวานนี้(4)ว่า จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพของ อันนัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติอีกต่อไป เพราะไม่สามารถยุติความรุนแรงได้จริง และจากวันนี้ฝ่ายกบฎจะเริ่มโจมตีกองกำลังของอัสซาดเพื่อปกป้องพลเมือง
“เราขอยกเลิกพันธะต่อข้อตกลงนี้ และตั้งแต่วันนั้น (1 มิ.ย.) เป็นต้นไป เราจะเริ่มปกป้องประชาชนของเราเอง” พันตรี ซามี อัล-เคอร์ดี โฆษกสภาทหารฝ่ายกบฎ ให้สัมภาษณ์ โดยอ้างถึงวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ฝ่ายกบฎขอให้ประธานาธิบดี อัสซาด ยุติความรุนแรงต่อพลเมือง
เคอร์ดี เผยด้วยว่า ฝ่ายกบฎต้องการให้ภารกิจสังเกตการณ์ของยูเอ็นเปลี่ยนไปเป็น “ภารกิจปกป้องสันติภาพ” และขอให้นานาชาติตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะประกาศเขตห้ามบินและพื้นที่กันชน เพื่อนำไปสู่การโค่นล้ม อัสซาด