รอยเตอร์ - สภาเมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่น หนึ่งในหลายๆ เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เห็นด้วยว่าการเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ 2 ตัวที่ระงับการใช้งานไว้อีกครั้งนั้นเป็นเรื่องจำเป็น โดยถือเป็นการยอมรับครั้งแรกนับตั้งแต่โรงไฟฟ้าปรมาณูหยุดดำเนินการทั้งประเทศหลังวิกฤตฟูกูชิมะ
ขณะที่ภาวะขาดแคลนพลังงาน เนื่องจากความต้องการใช้งานสูงในช่วงฤดูร้อนนี้ใกล้เข้ามา รัฐบาลกลางญี่ปุ่นจึงพยายามเพื่อให้ได้รับความยินยอมจากเมือง และจังหวัดต่างๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หลังต้องปิดเตาปฏิกรณ์ทั้งหมด 50 แห่งไปเพื่อซ่อมบำรุง
โตเกียวจะเร่งเร้าให้ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคในพื้นที่ใช้บริการของบริษัทคันไซ อิเล็กทริค พาวเวอร์ ทางตะวันตกของประเทศ ที่จะอาสาลดการใช้ไฟฟ้าลง 15% ในฤดูร้อนนี้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนพลังงาน ซึ่งจะหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในบางพื้นที่ได้
ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลกลางญี่ปุ่นเผยว่า เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 และ 4 ของโรงไฟฟ้าคันไซ ในเมืองโอไฮ จังหวัดฟูคูอิ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันตกราว 360 กิโลเมตร สามารถที่จะรีสตาร์ทได้
อีกครั้งอย่างปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ยังจะต้องโน้มน้าวประชาชนที่มีความกังวล โดยเฉพาะชาวบ้าน ชาวเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่ที่อาจได้รับความเสี่ยงจากอุบัติเหตุนิวเคลียร์ว่า การเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าปรมาณูเหล่านั้นปลอดภัย ซึ่งความล่าช้าในการ
ออกกฎข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับนิวเคลียร์ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในสภา ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับ
ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากขึ้น
สมาชิกสภาเมืองโอไฮชี้ว่า ชาวบ้านหลายคนยังคงกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย แต่ ส.ส.และ ส.ว.ท้องถิ่นส่วนใหญ่รู้สึกว่าถึงคราวจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจของเมืองแล้ว สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
ทั้งนี้ เมืองโอไฮได้รับเงินอุดหนุนราว 2,500 ล้านเยนในปีการเงิน ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม ปี 2010 อันเกี่ยวโยงกับเตาปฏิกรณ์ 4 เครื่องของคันไซ อิเล็กทริค โดยตำแหน่งงานจำนวนมากต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแห่งนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลกลางไม่สามารถใช้ข้อบังคับทางกฎหมาย เพื่อบีบีให้ชาวเมืองท้องถิ่นเห็นชอบ แต่ก็ไม่น่าจะดำเนินการรีสตาร์ทโดยปราศจากความยินยอมของรัฐบาลประจำเมือง และจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่นอนว่า ทางการโตเกียวจะสามารถหักล้างคำคัดค้านจากจังหวัดใกล้เคียงได้หรือไม่ ขณะที่ความคิดเห็นของประชาชนยังแตกออกเป็น 2 ฝ่าย โดย 45% สนับสนุนการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีกครั้ง ตามผลสำรวจของหนังสือพิมพ์โยมิอูริเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา