xs
xsm
sm
md
lg

‘โสมแดง’เหนือชั้น‘ล่อหลอก’สหรัฐฯให้ติดกับ (ตอนแรก)

เผยแพร่:   โดย: โดนัลด์ เคิร์ก

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Pyongyang hits US with one-two punch
By Donald Kirk
17/04/2012

หลังจากผู้นำหนุ่ม คิม จองอึน และบรรดานายทหารใหญ่ของเกาหลีเหนือ เฝ้าชมขบวนอาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเขา สวนสนามเคลื่อนตัวผ่านจัตุรัสคิม อิลซุง เมื่อวันอาทิตย์ (15 เม.ย.) ไปแล้ว พวกเขาน่าที่จะชูแก้วเชิญชวนกันดื่มให้แก่หมากกลที่อยู่เบื้องหลังการทำข้อตกลง “วันอธิกสุรทิน” 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้หลอกล่อสหรัฐฯเข้ามาติดกับอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หลังจากที่วอชิงตันถูกวาดภาพให้เห็นไปว่าเป็นผู้ร้ายที่พยายามใช้ข้ออ้างเรื่องการส่ง “ดาวเทียม” ซึ่งประสบความล้มเหลวของโสมแดง เพื่อทำลายข้อตกลงที่ทำกันเอาไว้ดังกล่าว บัดนี้เปียงยางก็รู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในฐานะที่สามารถเดินหน้าทำการทดสอบนิวเคลียร์รอบสามได้แล้ว

*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

โซล – ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้ว กลิน เดวีส์ (Glyn Davies) [1] ผู้เจรจาของฝ่ายสหรัฐฯ ได้ถูกหลอกต้มจนเปื่อยในหมากกลการเจรจาอันมีเล่ห์เหลี่ยมกลเม็ดแพรวพราวที่สุดหมากหนึ่งทีเดียว เมื่อตอนที่เขาไปตกลงเห็นชอบทำดีลกับ คิม คีกวาน (Kim Kye-gwan) [2] มือเก่าผู้โชกโชนเรื่องการพูดจากำกวมกลับกลอกแห่งเกาหลีเหนือ ณ วันอธิกสุรทิน 29 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา โดยที่ คิม ได้ทำให้ เดวีส์ เชื่อว่า ครั้งนี้เกาหลีเหนือมีความยินยอมพร้อมใจจริงๆ ที่จะ “หยุดพัก” การทดลองขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ทั้งหลายทั้งปวง [3]

หมากกลดังกล่าวนี้ เมื่อคุณลองทบทวนขบคิดกันให้ดีก็จะพบว่ามันแสนจะธรรมดามาก ทั้งหมดที่ คิม ต้องการคือ ทำให้ เดวีส์ ตกลงให้สัญญาที่จะส่งความช่วยเหลือด้านอาหารจำนวน 240,000 ตัน (โดยที่ให้สหรัฐฯระบุออกมาว่า เป็นความช่วยเหลือในรูปของสิ่งที่มีคุณประโยชน์ “ด้านโภชนาการ” สำหรับเด็กๆ ไม่ใช่ในรูปของข้าวหรือธัญญาหารที่อาจถูกยักย้ายถ่ายเทนำไปให้แก่ทหารเกาหลีเหนือ ก็ยังได้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย) แล้วจากนั้นกลไกอันยิ่งใหญ่ในด้านการบิดเบือนข่าวสารข้อมูลของเกาหลีเหนือ ก็สามารถเดินหน้าเข้าสู่ระยะที่สองของหมากกลนี้

ตอนแรกทีเดียว กลไกของฝ่ายเกาหลีเหนือสามารถพูดจาแก้เนื้อแก้ตัวได้ว่า เราวางแผนเรื่องการยิงจรวดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ คิม จองอิล ผู้นำอันเป็นที่รักของเราจะถึงแก่อสัญกรรมในเดือนธันวาคม 2011 ด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ถึงอย่างไรจรวดนี้ก็กำลังจะนำเอาดาวเทียมตรวจอากาศขึ้นสู่วงโคจรเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทดสอบขีปนาวุธ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะสามารถนำเอาอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธชีวภาพ หรืออาวุธเคมี มาติดตั้งกับจรวด แล้วยิงให้ไปตกไกลถึงแคลิฟอร์เนียแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ถัดจากนั้น ในขณะที่สหรัฐฯกำลังโกรธกริ้วหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับเรื่องแผนการยิงจรวด และประกาศระงับการให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร มันก็จะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายเกาหลีเหนือสามารถพูดสำทับกลับมาได้ว่า ดูเอาเถอะ พวกคุณฉีกข้อตกลงทิ้งไปแล้ว การต่อรองทั้งหมดเป็นอันยกเลิก ตอนนี้เรากำลังจะเดินหน้าทำการทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 3 ของเราแล้ว

ทั้งหมดก็ง่ายๆ อย่างนี้แหละ ต้องขอขอบคุณ “ข้อตกลง” ที่ เดวีส์ คิดว่าเขาเจรจาต่อรองกับ คิม คีกวาน ในกรุงปักกิ่งจนประสบความสำเร็จ เพราะมันทำให้ฝ่ายเกาหลีเหนือกลายเป็นฝ่ายถูกขึ้นมา และใครกันจะไปสนใจแยแสถ้าหากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกมาแถลง “ประณาม” อีกทั้งออกคำเตือนว่า จะ “ทำการลงโทษคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น” สืบเนื่องจากการยิงจรวดคราวนี้?

อย่างไรก็ตาม ในทางเป็นจริงแล้วฝ่ายเกาหลีเหนือย่อมต้องให้ความแยแสให้ความสนใจอยู่เหมือนกัน –อย่างน้อยในระดับหนึ่งล่ะ “การประณาม” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (17 เม.ย.) ทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของหมากกลที่เริ่มต้นขึ้นในกรุงปักกิ่ง กล่าวคือ จากการที่พวกมหาอำนาจระดับโลกรายสำคัญทุกๆ ราย ต่างดูเหมือนแสดงท่าทีประท้วงคัดค้านพวกเขานั้นเอง พวกเขาก็มีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้นอีกที่จะต้องสาธิตให้เห็นสถานะในการเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อันดับ 9 ของโลกของพวกเขา และเร่งเดินหน้าดำเนินการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาโดยเร็ว

ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ ฝ่ายเกาหลีเหนือสามารถมั่นอกมั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่า ถึงแม้จีนผู้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดของพวกเขา ได้ร่วมลงนามในคำแถลงประณาม เคียงข้างชาติสมาชิกอื่นๆ ของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นก็ตามที แต่แดนมังกรก็จะไม่ลงมือทำอะไรมากมายนักหนา ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็ใน 2 เรื่องใหญ่ อันได้แก่การตัดทอนเชื้อเพลิงซึ่งโสมแดงมีความต้องการเหลือเกินสำหรับใช้กับเศรษฐกิจที่สุดแสนทรุดโทรมผุพังของตน และอีกเรื่องหนึ่งก็การตัดทอนสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหลายแหล่ซึ่งชนชั้นนำของเกาหลีเหนือรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นเหลือเกินสำหรับการรักษาไลฟ์สไตน์ของพวกเขาเอาไว้ให้เป็นปกติสุข

สำหรับฝ่ายจีนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นลำดับแรกที่พวกเขาต้องเป็นห่วงเป็นกังวล ก็คือ เรื่องการลงทุนต่างๆ ของพวกเขาในเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาโครงการที่ทำร่วมกับญาติพี่น้องของราชวงศ์คิม ตลอดจนเหล่านายพลขุนทหารและเจ้าหน้าที่พรรคระดับท็อปซึ่งแวดล้อมรายรอบราชวงศ์คิมอยู่ ซึ่งเป็นการถลุงโลหะและแร่ธาตุอันมีค่าจากเหมืองต่างๆ ตามพื้นที่ภูเขาห่างไกล ฝ่ายจีนอาจจะไม่ได้รับรองเห็นดีเห็นงามกับการที่เกาหลีเหนือใช้จ่ายเงินทองของตนอย่างฟุ่มเฟือยเหมือนไร้ค่ากับพวกอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ แต่พวกเขาก็ยังไม่คิดที่จะแหย่รังแตนจนเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ดังกล่าวเหล่านี้ นอกจากนั้น ถ้าหากพวกเขาคิดอ่านจะควบคุมเพิ่มความเข้มงวดให้กระชับขึ้นอีกสักนิด ก็จะต้องมีผู้คนชาวเกาหลีเหนือไหลทะลักข้ามพรมแดนแม่น้ำยาลูและทูเมน ที่เต็มไปด้วยช่องโหว่เข้ามาในแดนมังกรกันอย่างมากมายทีเดียว

ข้อตกลง “วันอธิกสุรทิน” 29 กุมภาพันธ์ 2012 ในปักกิ่ง ระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ ซึ่งแท้ที่จริงเป็นหมากกลอันแยบยลของฝ่ายโสมแดงฉบับนี้ ยังถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นอีกด้วย นั่นคือ เป็นเสมือนบทเกริ่นนำให้แก่การกล่าวคำปราศรัยครั้งแรกสุดของ คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดคนใหม่ของเกาหลีเหนือ ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลเมื่อวันอาทิตย์(15)ที่ผ่านมา ในพิธีเฉลิมฉลองวาระวันเกิดครบรอบ 100 ของของ “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่” คิม อิลซุง ผู้เป็นปู่แท้ๆ ของเขา ในเมื่อสามารถทำให้เข้าใจกันไปแล้วว่าสหรัฐฯคือฝ่ายที่ฉีกข้อตกลงนี้ คิม จองอึน ก็สามารถที่จะสืบสานต่อยอดนโยบาย “การทหารมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง” ซึ่งใช้กันต่อเนื่องมาโดยตลอดในยุคของปู่ของเขา และของบิดาของเขา--คิม จองอิล ทั้งนี้ตัว คิม จองอึน ก็ยึดมั่นในเรื่องนี้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง ดังที่เห็นได้จากการที่เขาออกไปตระเวนเยี่ยมเยียนหน่วยทหารต่างๆ เรื่อยมา นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองอำนาจภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของบิดาของเขาในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

ยิ่งในการเฉลิมฉลองในจัตุรัสคิม อิลซุง ของกรุงเปียงยาง เมื่อวันอาทิตย์ (15) ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานกันอย่างเกรียงไกรชนิดที่เป็นเหตุการณ์ทำนองนี้ครั้งใหญ่ที่สุดในเกาหลีเหนือนับแต่การเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งกองทัพประชาชนเกาหลี (Korean People's Army) ในปี 1992 เป็นต้นมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ปราศจากข้อสงสัยใดๆ อีกแล้ว เกี่ยวกับความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของกองทัพเกาหลีเหนือ

แท้ที่จริงแล้ว กองทัพเกาหลีเหนือแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการปกปักรักษานโยบายแนวทางแข็งกร้าวทั้งหลายของราชวงศ์คิมให้ดำรงคงอยู่อย่างสถาพร ราชวงศ์คิมก้าวขึ้นสู่อำนาจนับตั้งแต่ที่ฝ่ายรัสเซียนำเอา คิม อิลซุง ที่ขณะนั้นเป็นนายร้อยเอกนักปฏิวัติหนุ่มแห่งกองทัพบกสหภาพโซเวียต ลงเรือลำหนึ่ง และส่งเขาล่องลงมาตามชายฝั่งจนถึงท่าเรือเมืองวอนซาน (Wonsan) ความเข้าใจในเวลานั้นมีอยู่เพียงแค่ว่า เขาจะเข้าสืบต่อกุมอำนาจเหนือระบอบปกครองในดินแดน “ครึ่งหนึ่ง” ของคาบสมุทรเกาหลี ส่วนที่ปกครองแบบ “โซเวียต” ซึ่งก็คืออาณาบริเวณเหนือเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ใครเลยจะไปล่วงรู้ความใฝ่ฝันของเขา ซึ่งทำให้เขาลงมือรุกรานตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลีในเดือนมิถุนายน 1950 ด้วยความมุ่งหมายที่จะรวมประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“กองทัพอันทรงอำนาจเกรียงไกร” ของเกาหลีเหนือ “มีความสามารถที่จะทำสงครามสมัยใหม่ด้วยยุทธวิธีทั้งด้านการรุกและการรับ” คิม จองอึน กล่าวในคำปราศรัยของเขา เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ฝูงชนและเหล่าทหารที่ชุมนุมอยู่ตรงหน้าเขา ตลอดจนผู้คนอีกหลายๆ ล้านที่รับชมรับฟังจากสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐและเครือข่ายสถานีวิทยุของเกาหลีเหนือ คำปราศรัยของเขายังมีช่วงตอนที่พาดพิงอ้างอิงอย่างชัดเจนถึงโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของโสมแดง เมื่อเขาประกาศว่า ยุคสมัยที่พวกมหาอำนาจต่างชาติสามารถข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือ “ด้วยอาวุธปรมาณูได้จบสิ้นไปแล้วตลอดกาล”

คำพูดเช่นนี้ แน่นอนทีเดียวว่าเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ทัศนะที่มีผู้เห็นด้วยอย่างกว้างขวางที่ว่า คิม จองอึน ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากเหล่านายพลที่เป็นผู้ครอบงำบงการโครงสร้างแห่งอำนาจอยู่ในปัจจุบัน จะต้องเร่งเดินหน้าเพื่อให้มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ อันจะเป็นครั้งที่สามของโสมแดง มีเสียงคาดเดากันอยู่มากในเวลานี้ว่า เขาน่าที่จะกดปุ่มอาวุธมหาประลัยดังกล่าวก่อนวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี (Korean Workers' Party)

โดนัลด์ เคิร์ก เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้คร่ำหวอดอยู่ในเอเชีย หนังสือเล่มใหม่ของเขาที่เพิ่งจัดพิมพ์คือเรื่อง Korea Betrayed: Kim Dae Jung and Sunshine
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
กำลังโหลดความคิดเห็น