ผลสำรวจชี้คนอเมริกันส่วนใหญ่เริ่มเชื่อว่า “โลกร้อนขึ้น” จริง

เอเอฟพี - ชาวอเมริกันเกือบ 2 ใน 3 เชื่อว่าปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรับรู้ได้ด้วยตนเองถึงอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ผลสำรวจความคิดเห็นเผย วานนี้ (28)

สังคมอเมริกันเริ่มเปิดใจยอมรับปัญหาโลกร้อนเพิ่มขึ้น แม้จะยังมีความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งทำให้ข้อเสนอลดการปลดปล่อยคาร์บอนไม่ผ่านสภาคองเกรสมาแล้ว

ผลสำรวจโดยโรงเรียนนโยบายสาธารณะ เจอรัลด์ ฟอร์ด แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน ร่วมกับสถาบันสำรวจความคิดเห็นแห่งวิทยาลัยเมอห์เลนเบิร์ก ซึ่งทำการสอบถามพลเมือง 887 คนทางโทรศัพท์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 62 เห็นว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจริงในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา

ร้อยละ 26 ยังไม่เชื่อหลักฐานที่บ่งบอกว่าโลกร้อน ขณะที่อีกร้อยละ 12 ไม่มั่นใจ ผลสำรวจเผย

ชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งที่เชื่อในภาวะโลกร้อน ระบุว่า จากการสังเกตอุณหภูมิและสภาพอากาศที่แปรปรวนด้วยตนเอง ทำให้พวกเขามั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยกเมฆ

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) เปิดเผยว่า 9 ใน 10 ปีที่สหรัฐฯ มีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ในช่วงตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

ปี 2011 ถือเป็นปีที่สภาพอากาศเลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยเกิดภัยธรรมชาติหลายรูปแบบ เช่น พายุทอร์นาโด และพายุฤดูร้อน ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสถิติของสำนักงานบริหารจัดการบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ

ผลสำรวจล่าสุดยังพบว่า แนวคิดทางการเมืองเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนมองปัญหาโลกร้อนแตกต่างกัน โดยร้อยละ 78 ของคนที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตเชื่อในหลักฐานการเกิดภาวะโลกร้อน ขณะที่ฐานเสียงพรรครีพับลิกันเชื่อภาวะโลกร้อนเพียงร้อยละ 47 เท่านั้น

แกนนำรีพับลิกันบางคน รวมไปถึงผู้ที่ต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากโอบามา ยังไม่เชื่อว่าปัญหาโลกร้อนมีที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ ขณะที่ ส.ส.บางคนอ้างว่า นักสิ่งแวดล้อมกุเรื่องโลกร้อนขึ้นเพื่อทำลายผลประโยชน์ทางธุรกิจ

ฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 มีชาวอเมริกันที่เชื่อปัญหาโลกร้อนร้อยละ 65 และลดลงเหลือเพียงร้อยละ 52 ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา ซึ่งเป็นช่วงที่วุฒิสภาสหรัฐฯ คัดค้านแผนลดการปลดปล่อยคาร์บอนเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน ผลสำรวจเผย