เอเอฟพี - แผนลอบวางระเบิดในกรุงเทพมหานครโดยผู้ต้องหาชาวอิหร่าน สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ไทยในการป้องกันการก่อการร้าย และแม้แต่รัฐบาลก็ยังไม่ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามนี้อย่างจริงจัง ผู้เชี่ยวชาญระบุ
ไทยถูกมองว่าเป็นเป้าโจมตีที่ง่ายดาย เนื่องจากรัฐบาลมุ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้แผนลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลในกรุงเทพมหานครจะล้มเหลว แต่ทางการกลับได้ทราบเรื่องก็เมื่อหลังเกิดเหตุระเบิดโดยไม่เจตนาขึ้นหลายจุดที่ย่านสุขุมวิท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ไทยปฏิเสธว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ไม่เข้าข่ายก่อการร้าย เนื่องจากเป้าหมายอยู่ที่ตัวบุคคล มิใช่สาธารณชนโดยรวม ทั้งที่ 1 เดือนก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศเตือนแล้วว่า อาจเกิดเหตุโจมตีขึ้นในกรุงเทพมหานคร
เหตุระเบิดย่านสุขุมวิทเกิดขึ้นหลังตำรวจไทยพบสารผลิตระเบิดจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายในอาคารพาณิชย์ที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อ 1 เดือนก่อน โดยสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวเลบานอนได้ 1 ราย
ภัยก่อการร้ายกลายเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเพิ่งจะฟื้นตัวจากมหาอุทกภัยเมื่อปีที่แล้ว รวมไปถึงความไม่สงบการทางเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“รัฐบาลไทยเกรงว่าเหตุระเบิดจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าออกมายอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้าย” มาเรีย พาทริไคเน็น นักวิเคราะห์การเมืองแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากบริษัทวิจัย ไอเอชเอส เจนส์ เผย
แม้เหตุระเบิดไนต์คลับที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย เมื่อปี 2002 จะกระตุ้นให้รัฐบาลไทยหันมาใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ทว่าในแง่กระบวนการก็ยังคงหละหลวม โดยเฉพาะการพิจารณาออกวีซ่าที่ไม่รัดกุมมากพอ เพราะเกรงจะกระทบต่อการท่องเที่ยว พาทริไคเน็น ระบุ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การข่าวของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ซึ่งก็เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของตำรวจและรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ไทยซึ่งคุ้นเคยกับพฤติกรรมการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธในประเทศ ยังคงอ่อนประสบการณ์ในการรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ
กรุงเทพมหานครเคยผ่านเหตุวางระเบิดเล็กน้อยหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกมองว่าเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองมากกว่าแผนก่อการร้าย ขณะที่ภาคใต้แม้จะต้องเผชิญกับเหตุโจมตีรายวัน ทว่าความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ และไม่ได้มีชาวต่างชาติเป็นกลุ่มเป้าหมาย
“ประเทศไทยกำลังตกเป็นเป้านิ่ง” พอล แชมเบอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อสากลศึกษา มหาวิทยาลัยพายัพ กล่าว
“และที่น่าแปลกใจมากกว่าก็คือ เหตุระเบิดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” แชมเบอร์ส กล่าว
แผนวางระเบิดที่ล้มเหลวในเดือนนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยรอดพ้นจากการก่อการร้ายมาได้อย่างหวุดหวิด
ปี 1994 ตำรวจพบระเบิดขนาดใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายในรถบรรทุกที่ประสบอุบัติเหตุใกล้กับสถานทูตอิสราเอลในกรุงเทพมหานคร ซึ่งครั้งนั้นผู้ต้องหาชาวอิหร่านถูกตัดสินประหารชีวิต
“18 ปีต่อมา เราก็ยังโชคดีเหมือนเดิม แต่คงไม่อาจหวังพึ่งโชคช่วยได้อย่างนี้ตลอดไป” ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุ
ฐิตินันท์เตือนว่า รัฐบาลไทยต้องเพิ่มความระมัดระวัง และออกมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันเหตุร้าย
“ทุกวันนี้ระบบข่าวกรองของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ความร่วมมือหรือการวิเคราะห์สถานการณ์ก็แย่มาก” ฐิตินันท์ชี้ พร้อมเผยว่าประกาศเตือนภัยครั้งแรกออกมาจากสถานทูตสหรัฐฯ
ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่า ระบบป้องกันภัยที่หละหลวมเป็นผลมาจากสภาพการเมืองที่อ่อนแอมาตั้งแต่เกิดการปฏิวัติโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2006
“การเมืองไทยเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน และนักการเมืองต่างก็ให้ความสำคัญกับปัญหาอื่นๆ จนไม่มีเวลาหารือปัญหาด้านความมั่นคงอย่างจริงจัง” ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์ กล่าว พร้อมเผยว่า มีบุคลากรบางคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ล่วงรู้แผนโจมตีชาวต่างชาติบนผืนแผ่นดินไทย
“แต่ก็เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐทั่วไป พวกเขาเจออุปสรรคเรื่องความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ” มอนเตซาโน กล่าว
“เราต้องการใครสักคนที่จะเลิกผลักภาระรับผิดชอบ และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างจริงจัง หากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นจะเป็นสัญญาณเตือนให้ทางการไทยเร่งพัฒนาศักยภาพ ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่แฝงมากับวิกฤต”