เอเอฟพี - บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ประกาศลดเรตติ้ง โซนี่ ยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์และสื่อบันเทิงจากแดนปลาดิบ หลังเพิ่งแถลงผลประกอบการขาดทุนได้ไม่ถึงสัปดาห์
เอสแอนด์พี ปรับลดความน่าเชื่อถือของ โซนี่ ลงจาก A- เหลือเพียง BBB+ โดยอ้างผลกำไรที่ไม่เข้าเป้า, การตัดราคาสินค้า, อุปสงค์ที่ลดลง และการแข่งขันที่ในตลาดที่ค่อนข้างดุเดือด นอกจากนี้ ยังปรับภาพรวมความน่าเชื่อถือระยะยาวเป็นลบ เพราะเมื่อพิจารณา “สถานการณ์ขั้นรุนแรงในธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ โซนี่ ทำให้เห็นว่า โอกาสที่จะกลับมาทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำมีน้อย”
“ยอดจำหน่ายโทรทัศน์ของ โซนี่ ตกต่ำลงทุกปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2004 เป็นต้นมา... สถานะของ โซนี่ ในตลาดโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากบริษัทคู่แข่งในเกาหลีใต้และจีน” แอสแอนด์พี ระบุ ในถ้อยแถลง พร้อมเตือนว่า อาจลดความน่าเชื่อถือลงอีก หากปราศจากสัญญาณการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า
สัปดาห์ที่แล้ว โซนี่ เผยผลประกอบการขาดทุนคาดการณ์ตลอดปีเพิ่มอีกกว่าเท่าตัว เป็น 2.2 แสนล้านเยน (ราว 88,000 ล้านบาท) จากเดิมที่คาดไว้ 90,000 ล้านเยน ซึ่งเท่ากับว่าผลประกอบการของ โซนี ติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
โซนี่ ระบุว่า สาเหตุเกิดจากปัจจัยการค้าที่ฝืดเคืองในประเทศพัฒนาแล้ว ประกอบกับอิทธิพลจากมหาอุทกภัยในไทย และปัญหาเงินเยนแข็งค่า
ทั้งนี้ โซนี่ ยังประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอเชื้อสายเวลช์ โฮเวิร์ด สตริงเกอร์ ซึ่งคุมกิจการในช่วงที่บริษัทเริ่มตกต่ำลง และให้ คาซุโอะ ฮิราอิ นั่งแท่นผู้บริหารแทน
เอสแอนด์พี แถลงวันนี้ (8) ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ โซนี่ ประสบภาวะขาดทุนซ้ำซ้อน ก็คือ ยุทธศาสตร์ชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่การแข่งขันและการตัดราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งต้นทุนการผลิตของ โซนี่ ก็สูงกว่าคู่แข่งต่างชาติ
“แรงกดดันต่อผลิตภัณฑ์หลักๆ ของ โซนี่ เช่น ทีวีจอแบน และโทรศัพท์มือถือ จะยังมีอยู่ต่อไป และในความเห็นของเรา ถ้าเน้นทำกำไรมากกว่าขยายส่วนแบ่งตลาด และพยายามลดต้นทุนการผลิตลง น่าจะช่วยให้ธุรกิจทีวีของ โซนี่ ขาดทุนน้อยลงได้”