เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ลงนามรับรองกฎหมายกำหนดมาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดต่อธนาคารกลางและภาคส่วนธุรกิจของอิหร่าน กรณีโครงการนิวเคลียร์ นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่อาจทำให้ความตึงเครียดบริเวณอ่าวเปอร์เซียทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
สหรัฐฯ หวังเล่นงานฝ่ายกิจการน้ำมันที่สำคัญของอิหร่าน และบังคับให้บริษัทในประเทศต่างๆ เลือกระหว่างการทำการค้ากับธุรกิจอิหร่าน กับสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางของประเทศใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ก็จะถูกเล่นงานเช่นกัน ก่อเป็นความกังวลถึงความสัมพันธ์กับจีน และ รัสเซีย ชาติยักษ์ใหญ่ที่ยังทำการค้ากับอิหร่าน
โอบามาลงนามในร่างกฎหมายระหว่างการพักผ่อนในรัฐฮาวาย ขณะเดียวกัน อิหร่านกำลังขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางที่เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 1 ใน 3 ของโลก ต้องใช้สัญจร ซึ่งสหรัฐฯ ก็ตอบโต้ว่า จะไม่ยอมการเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นแน่นอน
ซาอีด จาลิลี หัวหน้าผู้แทนเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน แสดงความเห็นเมื่อวันเสาร์ (31 พ.ค.) ว่า “จะตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและเจ็บแสบต่อภัยคุกคามใดๆ ต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน” อย่างไรก็ตาม อิหร่านก็ยังเปิดประตูรับการคืนสู่โต๊ะเจรจาที่หยุดชะงักมานาน
นอกจากนี้ มีความกังวลว่า มาตรการลงโทษธนาคารกลางอิหร่านอาจทำให้ราคาน้ำมันโลกทะยานสูงขึ้น และอาจยิ่งทำให้อิหร่านได้ประโยชน์จากการค้าน้ำมันในปัจจุบัน สำหรับประเด็นนี้ ประธานาธิบดีโอบามาโต้แย้งว่า มาตรการนี้เป็นบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดที่สหรัฐฯ และพันธมิตรเคยบังคับใช้กับกรุงเตหะราน และผลของการลงโทษครั้งที่ผ่านมาก็กำลังกระทบต่อเศรษฐกิจและกิจการน้ำมันของอิหร่าน
ชาติตะวันตกกล่าวหาอิหร่านว่า พยายามจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์โดยใช้โครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เป็นฉากบังหน้า อิหร่านก็ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา และสำทับว่า พัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลังงานให้กับประชาชนและจุดประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น
ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า สหรัฐฯ ได้รับคำยืนยันจากผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่าง ซาอุดีอาระเบีย คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า จะเพิ่มการส่งออกน้ำมันให้ชาติตะวันตกและเอเชีย หากมีการบังคับใช้มาตรการลงโทษอิหร่านฉบับนี้