เอเจนซี - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวอย่างชัดเจน ว่า จีนบิดเบือนค่าเงินหยวน โดยระบุแต่เพียงว่า ปักกิ่งยังคงล่าช้าในการปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความเป็นธรรมยิ่งขึ้น วานนี้ (27)
ขณะที่นักการเมืองอเมริกันบางคนกล่าวหาจีน ว่า เอาเปรียบคู่แข่งในตลาดโลก โดยตรึงค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อกระตุ้นการส่งออก ทว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กลับระบุในรายงานครึ่งปี ว่า บทบัญญัติที่ว่าด้วยลักษณะของการบิดเบือนค่าเงิน “ยังไม่สามารถใช้เทียบกับจีนได้”
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า การขึ้นค่าเงินหยวนยังเป็นไปอย่างล่าช้าเกินไป โดยในปีนี้จีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก 4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เงินหยวนขณะนี้แข็งค่าขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนก่อนที่กรุงปักกิ่งจะยุติการตรึงค่าเงินหยวนในเดือนมิถุนายนปี 2010
“การเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนจนถึงวันนี้ ยังนับว่าไม่เพียงพอ” กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ หลังจากที่เผยรายงานครึ่งปีว่าด้วยเศรษฐกิจและนโยบายค่าเงินนานาชาติแก่สภาคองเกรส
“กระทรวงการคลังจะติดตามการปรับค่าเงินหยวนอย่างใกล้ชิด และผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ซึ่งจะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นยิ่งขึ้น มีความเท่าเทียม และนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เน้นอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก”
ไม่นานมานี้ สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน ประเมินว่า ค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ยังอ่อนกว่าความเป็นจริงถึง 24 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก 28 เปอร์เซ็นต์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากนโยบายขึ้นค่าเงินหยวนอย่างช้าๆ ของจีน และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า กฎหมายที่กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องฟันธงรายนามคู่ค้าที่จงใจตรึงค่าเงินให้ต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นเครื่องมือที่ด้อยประสิทธิภาพเกินกว่าจะผลักดันปักกิ่งให้ยอมขึ้นค่าเงินหยวนได้ ดังนั้น สหรัฐฯจึงเลือกใช้องค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ จี20 หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นเวทีกดดันให้ปักกิ่งต้องปฏิรูปค่าเงินให้มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
“ก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ กระทรวงการคลังคงแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นไปก่อน เพราะไม่อยู่ในสถานะที่จะเผยท่าทีได้มากในขณะนี้” ฌอน อินเครโมนา นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน โฟร์แคสต์ ในนิวยอร์ก ระบุ
