เอเจนซีส์ - เกิดเหตุระเบิดกว่า 10 จุดในกรุงแบกแดด คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 57 คนเมื่อวันพฤหัสบดี(22) นับเป็นการโจมตีใหญ่ครั้งแรกต่อเมืองหลวงของอิรัก หลังจากกองทหารอเมริกันถอนออกไปไม่กี่วัน ขณะที่การเมืองภายในอิรักกำลังเผชิญวิกฤต โดยเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นชาวชิอะห์ กับรองประธานาธิบดีและรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นชาวสุหนี่
เหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นหลายๆ จุดในแบกแดดโดยมีร่องรอยว่าเป็นการก่อเหตุอย่างมีการวางแผนประสานงานกัน ตลอดจนการสังหารโหด 5 คนทั้งครอบครัวที่จังหวัดดิยาลา ที่เกิดขึ้นวานนี้ เป็นสัญญาณสำคัญครั้งแรกในการพิพาทขัดแย้งซึ่งคุกคามที่จะทำลายข้อตกลงรอมชอมทางการเมืองอันเปราะบาง และเพิ่มทวีความตึงเครียดขัดแย้งทางนิกายศาสนา ที่อาจผลักดันให้อิรักเข้าสู่สงครามกลางเมือง
เจ้าหน้าที่อิรักแถลงว่า การโจมตีโดยใช้ระเบิดในกรุงแบกแดด เกิดขึ้นตามย่านต่างๆ ทั้งทางด้านเหนือ, ด้านใต้, ด้านตะวันออก, ด้านตะวันตก, และบริเวณใจกลางเมือง ส่วนใหญ่เป็นย่านที่พำนักอาศัยของชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ โดยเวลาที่เกิดขึ้นเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้า
ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย เมื่อมือระเบิดพลีชีพขับรถพยาบาลพุ่งชนรถที่จอดอยู่ใกล้สำนักงานรัฐบาลในเขตคาร์ราดา ที่อยู่ตอนกลางของแบกแดด ทำให้เกิดการระเบิดและเศษชิ้นส่วนรถกระเด็นเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น
นอกจากนั้น ในเขตอื่นๆ ของเมืองหลวง คนร้ายได้ใช้วิธีแอบวางระเบิดตามจุดต่างๆ รวมแล้วกว่า 10 จุด โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีอย่างน้อย 57 ราย และได้รับบาดเจ็บ 176 คน ในเหตุโจมตีรวม 10 จุด ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งขอไม่ให้เปิดเผยนาม บอกกับเอเอฟพีว่ามีคนตายไป 63 คน และบาดเจ็บ 185 คน
เจ้าหน้าที่การแพทย์และฝ่ายความมั่นคงบอกด้วยว่า ในตอนเช้าวันเดียวกัน ยังมีพวกผู้ก่อความไม่สงบกราดยิงสังหารครอบครัวที่มีพ่อ, แม่, ลูกสาว 2 คน, และลูกชาย 1 คน ตายยกครัว ในย่านชานเมืองดิยาลา ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดบากูบา ทางตอนเหนือขแงบกแดด
ความรุนแรงระหว่างคนต่างนิกายศาสนาในอิรักสงบลง หลังจากที่เคยขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2006-2007 เมื่อเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายและการกราดยิงผู้คนในชุมชนสุหนี่และชีอะห์ที่มีผู้เสียชีวิตนับพันคน
ปัจจุบัน อิรักยังคงทำการสู้รบปราบปรามกลุ่มกบฎมุสลิมสุหนี่ที่มีสายสัมพันธ์กับขบวนการอัลกออิดะห์ ตลอดจนกองกำลังอาวุธชีอะต์ ที่อเมริการะบุว่ามีอิหร่านหนุนหลัง ซึ่งก่อการโจมตีอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งนี้ทหารอเมริกันกลุ่มสุดท้ายไม่กี่ร้อยคนเพิ่งถอนออกจากอิรักในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการรุกรานและยึดครองเมื่อเกือบ 9 ปีที่แล้วเพื่อโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน
ภายหลังการถอนกำลังทหารอเมริกันไม่กี่วัน รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันที่เปราะบางและมีการแบ่งปันอำนาจระว่างกลุ่มนิกายและเชื้อชาติต่างๆ ต้องเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงที่สุดนับจากก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ตำแหน่งในรัฐบาลที่แบ่งสรรกันระหว่างผู้นำสุหนี่ ชีอะต์ และชาวเคิร์ด เป็นระบบที่อุ้ยอ้ายซ้ำยิ่งอ่อนแอจากการต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ต้น
สัปดาห์นี้มาลิกิผลักดันให้ออกหมายจับรองประธานาธิบดีตอเร็ก อัล-ฮาเชมี ตัวแทนจากนิกายสุหนี่ ในข้อหาก่อการร้ายจากการจัดตั้งกลุ่มมือสังหารคอยก่อเหตุลอบสังหารและวางระเบิด ต่อมาในวันพุธ(21) เขาแถลงเรียกร้องให้ทางการเขตปกครองตนเองชาวเคิร์ด ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของอิรัก ส่งตัว คาเชมี ซึ่งไปหลบซ่อนอยู่ที่นั่นมาให้ นอกจากนี้ มาลิกิยังขอให้สภาปลดรองนายกฯ ซาเลห์ อัล-มุตลาค ซึ่งเป็นชาวสุหนี่และอยู่ในกลุ่มการเมืองเดียวกันกับคาเชมี ภายหลังอัล-มุตลาคกล่าวเปรียบเทียบว่า มาลิกิเป็นเผด็จการเหมือนซัดดัม
การโจมตีวันพฤหัสบดี ถือเป็นเหตุโจมตีใหญ่ครั้งแรกในแบกแดดนับจากเดือนพฤศจิกายน ที่เกิดเหตุระเบิด 3 ครั้งในย่านธุรกิจ และอีกครั้งในเขตชานเมืองด้านตะวันตก มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย
ขณะเดียวกัน การก่อเหตุเมื่อวันพฤหัสบดี ก็ถือว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม โดยในคราวนั้น มีผู้คนถูกฆ่า 74 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน ในการโจมตีเป็นชุดใหญ่ตามเมืองต่างๆ 17 แห่งทั่วอิรัก