เอเอฟพี - ขณะที่ทหารอเมริกันทยอยเดินทางออกจากอิรัก และอัฟกานิสถาน กองทัพสหรัฐฯก็เริ่มมุ่งความสนใจมายังภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของวอชิงตัน แม้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจะส่งผลให้งบประมาณด้านกลาโหมของสหรัฐฯลดลงก็ตาม
ลีออน เพเนตตา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวย้ำระหว่างเยือนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐฯซึ่งทำสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายมานานถึง 10 ปี ได้เดินมาถึง “จุดเปลี่ยน” อีกครั้ง
“เรามีโอกาสที่จะเพิ่มบทบาทของเราในแปซิฟิก และเราก็จะทำเช่นนั้น” เพเนตตา กล่าวขณะเยือนญี่ปุ่น
ในบันทึกข้อความถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพเนตตา ก็ย้ำว่า สหรัฐฯ “มีเจตนาที่จะดูแลรักษาและปรับปรุงบทบาทของกองทัพในภูมิภาคดังกล่าว”
คำมั่นสัญญาดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อปลอบขวัญชาติพันธมิตรที่กำลังเผชิญกับการแผ่อิทธิพลของจีน รวมไปถึงอันตรายที่ยากจะคาดเดาได้จากเกาหลีเหนือ
“หลายประเทศในเอเชียต่างกังวลที่เห็นจีนเข้มแข็งขึ้น และเกรงว่า สหรัฐฯจะหมดบทบาทลงเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่า สิ่งที่สหรัฐฯพยายามจะทำก็คือ สร้างความมั่นใจแก่ประเทศเหล่านั้นว่าเรายังไม่มีแผนที่จะจากไป” ราล์ฟ คอสซา ประธานสถาบันการศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (CSIS) ณ เมืองโฮโนลูลู ให้สัมภาษณ์
การสิ้นสุดปฏิบัติการทางทหารในอิรักภายในสิ้นปีนี้ และแผนถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานภายในปี 2015 จะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯหันมาใส่ใจกับกิจการในเอเชียและแปซิฟิกมากยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ระบุ
ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เขียนลงในนิตยสาร Foreign Policy ว่า ประธานาธิบดี โอบามา ได้เตรียมยุทธศาสตร์สำหรับภูมิภาคเอเชียเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาล และการประชุมสุดยอด แปซิฟิก ริม ที่ฮาวายสัปดาห์นี้ก็จะช่วยเสริมบทบาทของสหรัฐฯในเอเชียให้มั่นคงยิ่งขึ้น
คอสซา กล่าวว่า นโยบายของสหรัฐฯต่อภูมิภาคเอเชียนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม
“เราให้ความสำคัญกับการรักษาพันธมิตร, สนุบสนุนความร่วมมือในด้านต่างๆ ตลอดจนการค้าเสรี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เพเนตตา ยืนยันว่า ภารกิจทางทหารของสหรัฐฯในแปซิฟิกจะไม่ได้รับผลกระทบจากการตัดงบกลาโหมลงกว่า 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในระยะ 10 ปีข้างหน้า
เจ้าหน้าที่อาวุโสบางคน บอกว่า สหรัฐฯอาจตัดสินใจส่งเรือรบและยุทโธปกรณ์หนักเข้ามาประจำในเอเชียเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในกรณีที่ต้องขยายกิจกรรมทางทหาร โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ประกาศจะส่งเรือรบประชิดชายฝั่ง (littoral combat ship) รุ่นใหม่เข้าไปประจำการในสิงคโปร์
ลีออน เพเนตตา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวย้ำระหว่างเยือนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐฯซึ่งทำสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายมานานถึง 10 ปี ได้เดินมาถึง “จุดเปลี่ยน” อีกครั้ง
“เรามีโอกาสที่จะเพิ่มบทบาทของเราในแปซิฟิก และเราก็จะทำเช่นนั้น” เพเนตตา กล่าวขณะเยือนญี่ปุ่น
ในบันทึกข้อความถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพเนตตา ก็ย้ำว่า สหรัฐฯ “มีเจตนาที่จะดูแลรักษาและปรับปรุงบทบาทของกองทัพในภูมิภาคดังกล่าว”
คำมั่นสัญญาดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อปลอบขวัญชาติพันธมิตรที่กำลังเผชิญกับการแผ่อิทธิพลของจีน รวมไปถึงอันตรายที่ยากจะคาดเดาได้จากเกาหลีเหนือ
“หลายประเทศในเอเชียต่างกังวลที่เห็นจีนเข้มแข็งขึ้น และเกรงว่า สหรัฐฯจะหมดบทบาทลงเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่า สิ่งที่สหรัฐฯพยายามจะทำก็คือ สร้างความมั่นใจแก่ประเทศเหล่านั้นว่าเรายังไม่มีแผนที่จะจากไป” ราล์ฟ คอสซา ประธานสถาบันการศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (CSIS) ณ เมืองโฮโนลูลู ให้สัมภาษณ์
การสิ้นสุดปฏิบัติการทางทหารในอิรักภายในสิ้นปีนี้ และแผนถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานภายในปี 2015 จะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯหันมาใส่ใจกับกิจการในเอเชียและแปซิฟิกมากยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ระบุ
ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เขียนลงในนิตยสาร Foreign Policy ว่า ประธานาธิบดี โอบามา ได้เตรียมยุทธศาสตร์สำหรับภูมิภาคเอเชียเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาล และการประชุมสุดยอด แปซิฟิก ริม ที่ฮาวายสัปดาห์นี้ก็จะช่วยเสริมบทบาทของสหรัฐฯในเอเชียให้มั่นคงยิ่งขึ้น
คอสซา กล่าวว่า นโยบายของสหรัฐฯต่อภูมิภาคเอเชียนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม
“เราให้ความสำคัญกับการรักษาพันธมิตร, สนุบสนุนความร่วมมือในด้านต่างๆ ตลอดจนการค้าเสรี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เพเนตตา ยืนยันว่า ภารกิจทางทหารของสหรัฐฯในแปซิฟิกจะไม่ได้รับผลกระทบจากการตัดงบกลาโหมลงกว่า 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในระยะ 10 ปีข้างหน้า
เจ้าหน้าที่อาวุโสบางคน บอกว่า สหรัฐฯอาจตัดสินใจส่งเรือรบและยุทโธปกรณ์หนักเข้ามาประจำในเอเชียเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในกรณีที่ต้องขยายกิจกรรมทางทหาร โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ประกาศจะส่งเรือรบประชิดชายฝั่ง (littoral combat ship) รุ่นใหม่เข้าไปประจำการในสิงคโปร์
