เอเอฟพี - องค์กรพิทักษ์สัตว์แสดงความไม่พอใจสหรัฐฯ กรณีที่ไม่มีกฎหมายห้ามการครอบครองสัตว์ป่า หลังเจ้าหน้าที่รัฐโอไฮโอนำทีมไล่ล่าและยิงสัตว์ป่า 49 ตัว ตายอย่างทารุณ หลังสัตว์พวกนี้ที่รวมถึงเสือโคร่งเบงกอล 18 ตัว หลุดออกมาจากฟาร์มของเอกชน
“ไม่มีใครสมควรเป็นเจ้าของสัตว์ป่าเหล่านี้ตั้งแต่ต้น ดังนั้น เราต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อทำให้กฎหมายฉบับนี้เป็นจริงขึ้นมา” อดัม โรเบิร์ตส์ รองประธานองค์กรพิทักษ์สัตว์ บอร์น ฟรี ยูเอสเอ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
ทั้งนี้ หมี สิงโต เสือ หมาป่า และลิงจำนวนหลายสิบตัว วิ่งเตลิดออกมาจากฟาร์ม หลังจากเทอร์รีย์ ธอมป์สัน เจ้าของวัย 62 ปี เปิดกรงปล่อยสัตว์ต่างๆ ออกมาจากฟาร์มย่านมัสคิงกัม เคาน์ตี้ รัฐโอไฮโอ เมื่อเย็นวันอังคาร (18) ก่อนที่ ธอมป์สัน จะยิงตัวตาย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับคำสั่งให้ตามฆ่าสัตว์ป่าที่หลุดออกมาทั้งหมด โดยให้เหตผลว่า ไม่มีทางเลือก เพราะต้องปกป้องชีวิตชาวบ้าน
เหตุการณ์ล่าสังหารสัตว์ดำเนินมาจนถึงช่วงเย็นวันพุธ (19) มีสัตว์ป่าทั้งหมด 49 ตัว ถูกยิงตาย และมีเพียง 6 ตัว เท่านั้นที่ถูกจับได้ขณะมีชีวิต ซึ่งประกอบด้วย หมีกริซลีย์ 1 ตัว ลิง 2 ตัว และเสือดาวอีก 3 ตัว แม้เหลือลิงอีกตัวหนึ่งที่ยังตามจับไม่ได้ แต่ก็มีบางเสียงสันนิษฐานว่า มันอาจถูกสิงโตกินเข้าไปแล้ว
ตั้งแต่ปี 2004 เทอร์รีย์ ธอมป์สัน ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับฟาร์มสัตว์ป่าของเขาหลายสิบครั้ง เช่น คดียีราฟออกไปหาเล็มหญ้าบนทางหลวง และคดีลิงหลุดไปยังต้นไม้ของเพื่อนบ้าน นอกนั้น เขายังถูกดำเนินคดีร้ายแรงเกี่ยวกับการทารุณกรรมสัตว์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มนักอนุรักษ์สัตว์พยายามเรียกร้องกฎหมายป้องกันการครอบครองสัตว์ป่าในสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจุบัน ยังมีอีก 8 รัฐ ที่ไร้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า รวมถึงรัฐโอไฮโอ ที่เพิ่งเกิดเหตุวานนี้
หลังสื่อรายงานข่าวการล่าสังหารสัตว์ป่า 49 ตัว กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ “พีต้า” ก็ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตรากฎหมายห้ามบุคคลทั่วไปครอบครองสัตว์ป่า ส่วน องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกระบุว่า การสูญเสียเสือเบงกอล 18 ตัว เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ ขณะที่จำนวนเสือเบงกอลทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็ว จาก 100,000 ตัว ช่วงทศวรรษที่แล้วเหลือเพียง 3,200 ตัว ในปัจจุบัน
