หลังจากที่ปฏิบัติการลอบสังหาร"สนธิ ลิ้มทองกุล" ผ่านพ้นไปได้ราว 20 วัน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อลอบสังหารได้ออกมาเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2551 โดยทุกฝ่ายต่างเฝ้าจับตามองว่า สนธิ จะบอกอะไร
"ประเด็นในการลอบสังหารผมในครั้งนี้ แยกได้เป็น 2 มิติ คือ 1.การลอบสังหารในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ถือเป็นการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อน และ 2.คือ ในฐานะแกนนำมวลชนที่ต่อสู้เรียกร้อง เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเด็นการลอบสังหารไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าใครที่มีอำนาจ มีอาวุธในมือสามารถที่จะทำอะไรก็ได้
การลอบสังหารผมในครั้งนี้ ถือว่าหากสำเร็จจะสามารถล้มล้างรูปแบบที่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยจากภาค ประชาชน เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว และมีนัยทางอ้อม คือ การข่มขู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากฆ่า นายสนธิ ได้ ก็ฆ่า นายอภิสิทธิ์ ได้ การข่มขู่สื่อมวลชน ให้อยู่ภายใต้อำนาจ และการข่มขู่ขบวนการภาคประชาชน หากมีการเรียกร้องมากเกินความจำเป็นก็จะได้รับความตายไปแทน
คนร้ายที่ยิง ผมยืนยันชัดด้วยสายตาว่า ถูกยิงจากคนที่ถูกฝึก เพราะเป็นท่านั่งประทับยิง เป็นท่าที่ฝึกทางการทหาร ใช้รถจำนวน 4 คัน มีผู้ที่กระทำการประมาณ 10-16 คน เชื่อว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจ และคนที่ลงมือรู้เส้นทางเดินรถ มีรถจอดรอเป็นจุด แต่การยิงไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นขบวนการล่าสังหาร เชื่อว่า เป็นฝีมือของทหารบางคน ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพไม่ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้"
นั่นเป็นปฐมบทของการเปิดใจครั้งแรกของเหยื่อที่ถูกล่าสังหารในครั้งนั้น ซึ่งมีนัยยะหลายอย่างบ่งบอกถึงสาเหตุและผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ ผู้มีอำนาจได้รับฟังแต่ไม่ยอมรับรู้นัยยะดังกล่าวนั้น!
เมื่อกลับไปดูคดีการลอบสังหารนายสนธิ หลังจากที่ชุดคลี่คลายคดีที่มี พล.ต.อ.ธานี เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ออกหมายจับผู้ต้องหาไปถึง 3 คน แต่ยังไม่มีวี่แววว่า จะมีการควบคุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี หรือสอบปากคำเพิ่มเติมอะไรได้ มีเพียงแต่กระแสข่าวระบุออกมาว่า ผู้ต้องหายังคงกบดานอยู่ในประเทศไทย แต่ ณ เวลานั้น กลับมีข่าวออกมาจากปากต่อปากอีกว่า 3 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไปนั้น อาจจะเหลืออยู่เพียง 2 คนเท่านั้น โดยคนหนึ่งที่หายไป ยังไม่มีการยืนยันว่า หลบหนีออกไปนอกประเทศ หรือสาปสูญถึงแก่ชีวิตไปแล้ว!
คดีนี้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่หลายฝ่ายกำลังยอมรับ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า คดีไม่มีทางตัน ไม่มีการเงียบหาย แต่บัดนี้ เป็นเวลาครอบรอบถึง 3 ปีแห่งการลอบสังหารแกนนำมวลชนอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วกลับไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย คดีเงียบหายไปกับกาลเวลา และเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึงขังว่า จะสามารถปิดคดีนี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งกาลเวลาก็ได้พิสูจน์คำพูด หรือคำมั่นสัญญาไว้ชัดเจนแล้ว
เราเชื่อว่า ไม่แต่"สนธิ ลิ้มทองกุล"เท่านั้นที่รู้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเขาในครั้งนั้น แต่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลเองก็เชื่อว่า พวกเขา รู้อยู่เต็มอกเช่นกันว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการ แต่ทำไม และเหตุผลอันใด จึงทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย ซึ่งคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดมีเพียง"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"บุคคลที่รู้ดีว่า คนสั่งการคือใคร แต่กลับปล่อยให้ลอยนวล เพื่อต้องการให้ตนเองอยู่ในอำนาจต่อไปก็เท่านั้นเอง !
"ประเด็นในการลอบสังหารผมในครั้งนี้ แยกได้เป็น 2 มิติ คือ 1.การลอบสังหารในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ถือเป็นการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อน และ 2.คือ ในฐานะแกนนำมวลชนที่ต่อสู้เรียกร้อง เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเด็นการลอบสังหารไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าใครที่มีอำนาจ มีอาวุธในมือสามารถที่จะทำอะไรก็ได้
การลอบสังหารผมในครั้งนี้ ถือว่าหากสำเร็จจะสามารถล้มล้างรูปแบบที่ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยจากภาค ประชาชน เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว และมีนัยทางอ้อม คือ การข่มขู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากฆ่า นายสนธิ ได้ ก็ฆ่า นายอภิสิทธิ์ ได้ การข่มขู่สื่อมวลชน ให้อยู่ภายใต้อำนาจ และการข่มขู่ขบวนการภาคประชาชน หากมีการเรียกร้องมากเกินความจำเป็นก็จะได้รับความตายไปแทน
คนร้ายที่ยิง ผมยืนยันชัดด้วยสายตาว่า ถูกยิงจากคนที่ถูกฝึก เพราะเป็นท่านั่งประทับยิง เป็นท่าที่ฝึกทางการทหาร ใช้รถจำนวน 4 คัน มีผู้ที่กระทำการประมาณ 10-16 คน เชื่อว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจ และคนที่ลงมือรู้เส้นทางเดินรถ มีรถจอดรอเป็นจุด แต่การยิงไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นขบวนการล่าสังหาร เชื่อว่า เป็นฝีมือของทหารบางคน ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพไม่ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้"
นั่นเป็นปฐมบทของการเปิดใจครั้งแรกของเหยื่อที่ถูกล่าสังหารในครั้งนั้น ซึ่งมีนัยยะหลายอย่างบ่งบอกถึงสาเหตุและผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ ผู้มีอำนาจได้รับฟังแต่ไม่ยอมรับรู้นัยยะดังกล่าวนั้น!
เมื่อกลับไปดูคดีการลอบสังหารนายสนธิ หลังจากที่ชุดคลี่คลายคดีที่มี พล.ต.อ.ธานี เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ออกหมายจับผู้ต้องหาไปถึง 3 คน แต่ยังไม่มีวี่แววว่า จะมีการควบคุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี หรือสอบปากคำเพิ่มเติมอะไรได้ มีเพียงแต่กระแสข่าวระบุออกมาว่า ผู้ต้องหายังคงกบดานอยู่ในประเทศไทย แต่ ณ เวลานั้น กลับมีข่าวออกมาจากปากต่อปากอีกว่า 3 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไปนั้น อาจจะเหลืออยู่เพียง 2 คนเท่านั้น โดยคนหนึ่งที่หายไป ยังไม่มีการยืนยันว่า หลบหนีออกไปนอกประเทศ หรือสาปสูญถึงแก่ชีวิตไปแล้ว!
คดีนี้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่หลายฝ่ายกำลังยอมรับ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า คดีไม่มีทางตัน ไม่มีการเงียบหาย แต่บัดนี้ เป็นเวลาครอบรอบถึง 3 ปีแห่งการลอบสังหารแกนนำมวลชนอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วกลับไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย คดีเงียบหายไปกับกาลเวลา และเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึงขังว่า จะสามารถปิดคดีนี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งกาลเวลาก็ได้พิสูจน์คำพูด หรือคำมั่นสัญญาไว้ชัดเจนแล้ว
เราเชื่อว่า ไม่แต่"สนธิ ลิ้มทองกุล"เท่านั้นที่รู้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเขาในครั้งนั้น แต่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลเองก็เชื่อว่า พวกเขา รู้อยู่เต็มอกเช่นกันว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งการ แต่ทำไม และเหตุผลอันใด จึงทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย ซึ่งคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดมีเพียง"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"บุคคลที่รู้ดีว่า คนสั่งการคือใคร แต่กลับปล่อยให้ลอยนวล เพื่อต้องการให้ตนเองอยู่ในอำนาจต่อไปก็เท่านั้นเอง !