xs
xsm
sm
md
lg

วุฒิสภาสหรัฐฯ เมินคำค้าน ผ่านกฎหมายลงโทษจีนปั่นค่าเงินหยวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธนบัตรดอลลาร์ของสหรัฐฯ และหยวนของจีน
เอเอฟพี - วุฒสิภาสหรัฐฯ ท้าทายความไม่พอใจของจีน และคำเตือนของทำเนียบขาว ผ่านกฎหมายลงโทษรัฐบาลปักกิ่ง กรณีปั่นค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันว่างงาน

วุฒิสมาชิก 63 ต่อ 35 เสียงลงมติเห็นชอบมาตรการมุ่งเล่นงานจีน ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะผ่านสภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ได้หรือไม่ ท่ามกลางคำเตือนจากผู้นำหลายฝ่าย ที่ว่ากฎหมายฉบับนี้อาจก่อให้เกิดสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจได้

“พวกเราอยู่ในสงครามการค้า แต่วันนี้เรากำลังตอบโต้กลับไป” เชอร์ร็อด บราวน์ ส.ว.พรรคเดโมแครต หนึ่งในหัวหอกคนสำคัญของกฎหมายฉบับดังกล่าว ประกาศการสิ้นสุดของ “วิธีลดกำลังรบฝ่ายเดียว” ซึ่งสหรัฐฯ ใช้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ร่างกฎหมายนี้ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกระแสความไม่พอใจของผู้มีสิทธิออกเสียงชาวอเมริกันต่อสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ และอัตราการว่างงานสูง ก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนพฤศิจกายน ปี 2012 จะดำเนินการตอบโต้สินค้าส่งออกของจีนด้วยมาตรการด้านภาษี หากค่าเงินหยวนถูกแทรกแซง

ด้าน จอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกัน ได้ส่งสัญญาณว่าเขาจะไม่นำกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาออกเสียง โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวอันตรายต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างเบอร์ 1 และเบอร์ 3 ของเศรษฐกิจโลก อันจะนำมาซึ่งสงครามการค้า

ส่วนประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ปฏิเสธที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ และเป็นกังวลว่ากฎหมายดังกล่าวจะละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ แม้ว่าเขาเคยกล่าวหาจีนว่าเล่นเกมการค้า ซึ่งส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่โต้แย้งข้อกล่าวที่ว่าจีนพยายามรักษาค่าเงินให้อ่อนกว่าดอลลาร์อย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลให้สินค้าของจีนได้เปรียบสินค้าสหรัฐฯ อยู่ 30% ทำให้สหรัฐฯ ประสบปัญหาขาดดุลการค้า และคนอเมริกันตกงานจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ผู้คัดค้านร่างกฎหมายนี้เตือนถึงความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแดนมังกรจะเลวร้ายลง พร้อมกับชี้ว่า การขึ้นค่าเงินหยวนจะสามารถกระตุ้นภาคอุตสาหกรรม และสร้างงานในประเทศอย่างเวียดนาม หรือมาเลเซียเท่านั้น ไม่ใช่ในสหรัฐฯ

ยิ่งไปกว่านั้น หากได้รับการรับรองผ่านเป็นกฏหมาย มาตรการดังกล่าวจะยิ่งทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายมากกว่าช่วยเหลือภาคธุรกิจ และครัวเรือนในประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น