เอเอฟพี - สายการบิน แควนตัส ของออสเตรเลีย ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเก้ปัญหาขาดทุน โดยจะสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มอีก 110 ลำ, ปลดพนักงานสูงสุด 1,000 ตำแหน่ง และเปิด 2 สายการบินใหม่ที่มุ่งดึงดูดลูกค้าในเอเชียเป็นหลัก
ยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศของแควนตัส ประกอบด้วยการลดพนักงาน และเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินแอร์บัส เอ380 จำนวน 6 ลำไปอีกอย่างน้อย 6 ปี เพื่อตัดทอนค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ แควนตัส จะร่วมทุนกับสายการบิน เจแปน แอร์ไลน์ส และบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ป เปิดสายการบินต้นทุนต่ำภายในประเทศ เจ็ตสตาร์ เจแปน ภายในสิ้นปี 2012 และเตรียมร่วมทุนกับบริษัทอื่นเพื่อเปิดสายการบินระดับพรีเมียมในเอเชีย โดยยังไม่ระบุแน่นอนว่าจะใช้ประเทศใดเป็นฐานการบิน
สายการบินแห่งชาติออสเตรเลียต้องเผชิญวิกฤตรุ้มเร้าหลายประการ ทั้งภัยพิบัติและราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นจนแทบไม่มีกำไร
ภัยธรรมชาติที่เกิดหลายระลอกในปีนี้ส่งผลให้ แควนตัส สูญเสียรายได้ไปราว 206 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ุ6,400 ล้านบาท)
อลัน จอยซ์ ประธานบริหารแควนตัส เคยคาดการณ์ว่า การบินระหว่างประเทศอาจขาดทุนถึง 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย(6,230 ล้านบาท)ไม่รวมภาษี ซึ่งทำให้ แควนตัส จำเป็นต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ โดยจุดประสงค์สำคัญของแผนระยะ 5 ปี คือทำให้ธุรกิจการบินระหว่างประเทศกลับมามีกำไร และจะมุ่งให้บริการลูกค้าในเอเชียเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม แผนปรับโครงสร้างของ แควนตัส สร้างความไม่พอใจแก่สมาคมนักบินออสเตรเลียและนานาชาติ (เอไอพีเอ) ซึ่งขู่ว่าจะนัดหยุดงานเพื่อประท้วงแผนดังกล่าว
“นี่คือสิ่งที่นักบินแควนตัสได้รับคำเตือนมาหลายเดือนแล้ว คือการปรับไปสู่เอเชียมากขึ้น และเริ่มจ้างพนักงานที่ทำงานตามมาตรฐานและเงื่อนไขของชาวเอเชียมากขึ้น” บาร์รี แจ็กสัน ประธาน เอไอพีเอ ระบุ
“เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งยุทธศาสตร์ที่จะทำลายอนาคตของแควนตัส จนกว่าจะได้รับคำยืนยันจาก อลัน จอยซ์ ว่า ทุกเที่ยวบินของแควนตัสจะยังใช้นักบินของแควนตัสเองเสมอ”
แควนตัส จะขยายความร่วมมือกับสายการบิน บริติช แอร์เวยส์ ซึ่งจะรับผู้โดยสารจากปลายทางของ แควนตัส ในเอเชีย ต่อไปยังทวีปยุโรปมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนเปลี่ยนเส้นทางบินสู่ทวีปอเมริกาใต้ โดยจะเปิดเที่ยวบินจากซิดนีย์สู่กรุงซันติอาโกของชิลี แทนเที่ยวบินซิดนีย์-บัวโนสไอเรส และจะสั่งเครื่องบินแอร์บัส เอ320 เพิ่มอีก 110 ลำเพื่อสนับสนุนเส้นทางบินใหม่ๆ ตลอดจนรองรับการขยายธุรกิจในระยะ 10-15 ปีข้างหน้า